สรุป หนังสือ จิตวิทยาสายดาร์ก — วิธีล้างสมองคนง่ายๆไม่คาดคิด

Nut P
2 min readJan 28, 2024

สวัสดีครับ หนังสือจิตวิทยาที่กำลังดังอีกเล่มในไทย ที่ผมเห็นหลายคนแนะนำในโซเชี่ยล สุดท้ายอดใจไม่ไหว ต้องซื้อมาอ่านด้วยเลย ซึ่งถ้าจะให้ รีวิว หนังสือเล่มนี้ก็คือถือว่าค่อนข้างดีเลยครับ เทียบกับประสบการณ์ตัวเอง กับเทคนิคในหนังสือ ก็คิดว่าเอาไปใช้ได้จริง เป็นวิธีง่ายๆไกล้ตัว แต่เราดันไม่คาดคิด ที่ปกติเราไปแค่ฝึกพูด หวังว่าจะเป็นคนคุยเก่ง แต่หารู้ไม่ว่ามันไม่ใช่เลยวิธีนี้ ใครอยากรู้แล้วว่าเทคนิคในหนังสือเป็นยังไงก็ไปอ่านสรุปผมต่อได้เลย😉

“หนังสือจิตวิทยา ที่ใครอ่านก็บอกว่าดี ”

เนื้อหาประมานไหน

เนื้อหาสั้นๆกระชับ ได้ใจความ สอนวิธีการใช้จิตวิทยาชักจูงคนอื่นเอาไปใช้ได้จริงเลย เขียนจากประสบการณ์โดยคนญี่ปุ่น ที่ทำขายตรง จากที่ขายไม่ได้ 3 ปี จนกลายเป็นระดับท๊อปหลังจากพบทักษะการล้างสมอง

สิ่งที่ได้จากหนังสือเล่มนี้คือ “การพัฒนาการสื่อสาร” และ “การรู้เท่าทันทริคหลอกขายต่างๆ”

เหมาะกับใคร

สำหรับคนที่อยากพัฒนาการสื่อสาร หรือเพิ่มทักษะในเรื่องการขาย หรือคนที่ลองอ่านหนังสือจิตวิทยาหลายๆเล่มแล้วไม่เวิร์ก หนังสือเล่มนี้จะทำให้ผู้อ่านเห็นอีกมุมมองนึงในการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร ซึ่งเป็นวิธีที่ไกล้ตัว พัฒนาง่ายๆ แต่เราดันไม่รู้ว่าแค่พัฒนาด้านนี้ ทักษะการสื่อสารก็จะดีขึ้นได้อีกมากมายเหมือนเป็นคนละคน

สไตล์การเขียน

เนื้อหาในหนังสือไม่เยอะ อ่านไม่นานก็จบ เคสยกตัวอย่าง และสไตล์การเขียนดูไม่เก่าแก่มาก ยังสามารถนำวิธีต่างๆในหนังสือไปใช้ได้ในชีวิตจริงโดยไม่ต้องปรับบริบทอะไรมาก

สรุปเนื้อหา

บทที่ 1 แด่คนที่อ่าน “คู่มือการพูด” แล้วก็ยังไม่สามารถพูดชักจูงคนอื่นได้

  • ทักษะในการสื่อถึงใจอีกฝ่ายไม่ใช่ “วิธีการใช้คำพูดที่เหมาะสม” แต่เป็น “วิธีสร้างความประทับใจที่เหมาะสม” ต่างหาก
  • หนังสือจึงมุ่งเน้นไปในด้าน Impression management แทนการพูด
  • การพูดเก่ง ไม่ใช่การพูดตามหลักไวยากรณ์ถูกต้อง แต่เป็นการพูดชัดจูงอีกฝ่าย
  • การล้างสมอง = วิธีการของคนพูดเก่ง
  • โนว์ฮาวน์ชั้นเยี่ยมเป็นสิ่งที่อัจฉริยะคิดค้นขึ้นมาก็จริง แต่ไม่ว่าใครก็สามารถเอาไปใช้ได้ เหมือน iPhone by Steve Job

บทที่ 2 เคล็ดลับ “วิธีลวงให้คนอื่นยินดีรับฟังเราทุกอย่าง”

  • สิ่งสำคัญที่สุดในการล้างสมอง คือ “การสร้างภาพลักษณ์
  • ข้อมูลจากคำพูด (เนื้อหาคำพูด) ส่งผลต่อความประทับใจ 7%
  • ข้อมูลจากการได้ยิน (น้ำเสียง) ส่งผลต่อความประทับใจ 38%
  • ข้อมูลจากการมองเห็น (รูปลักษณ์และภาษากาย) ส่งผลต่อความประทับใจ 55%
  • การจะพูดเก่งได้ สิ่งสำคัญคือการสร้างความประทับใจด้วยข้อมูลจากการมองเห็น (55%) และข้อมูลการได้ยิน (38%)
  • ถึงหน้าตาไม่ดี แต่ก็ต้องทำตัวดูดีเข้าไว้
  • คนขี้เหร่มักจะขี้เหนียวกับการปรับปรุงรูปลักษณ์ภายนอก
  • แค่เปลี่ยน “สถานที่พูด” ก็ชวนให้เข้าใจว่าเป็นคนมีระดับได้ เช่น ไม่ใช่ร้านฟาสฟู้ต

บทที่ 3 เคล็ดลับ “วิธีพูด” ที่ช่วยให้เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น

  • สิ่งแรกที่ควรทำคือ “การประจบ”
  • ไม่ต้องกังวลว่า ถ้าพูดประจบน่าจะโดนเกลียดมากกว่านะ เพราะ คุณโดนเกลียดก็ต่อเมื่อใช้วิธีประจบที่ไม่ได้เรื่องจริงๆเท่านั้น
  • ถ้าคุณประจบทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน คุณจะเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นแน่นอน
  • การชมแบบไม่มีมูล ทรงพลังกว่าการชมข้อดีที่เห็นได้ชัดกว่า 100 เท่า เช่น พูดรสนิยมดีจัง แทนเสื้อสวยจัง, เสื้อยูนิโคล่ นึกว่าเสื้อยี่ห้อแพงซะอีก >> ทำให้เหมือนเรามองเขาได้ทะลุปรุโปร่ง
  • Fake it until you make it การชมไปเรื่อยเปื่อยไปอย่างต่อเนื่อง เดี๋ยวเราก็หาข้อดีอีกฝ่ายได้แบบอัตโนมัติเอง
  • 3 คำชม ที่ใช้ได้ทุกสถานการณ์: อัจฉริยะ, หัวดีจัง, ต้องสำเร็จแน่
  • ถ้าลูกน้องรู้ตัวเองว่าทำพลาด ไม่ต้องตำหนิ ให้พูดชมสร้างกำล้งใจแทน เพราะ คนปกติสำนึกผิดอยู่แล้ว
  • ไม่มีใครโดนชมแล้วเหลิงหรอก
  • การแสดงท่าทีคล้ายโมโหก่อนจะชม ประสิทธิภาพการชมจะยิ่งมากขึ้น
  • มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สนใจเรื่องตัวเองมากกว่าเรื่องคนอื่น >> ดูดวง, งานอดิเรก, งาน, เสื้อผ้า
  • สื่อสารว่าคุณรู้เรื่องงานอดิเรกของเขา พร้อมทั้งบอกว่าคุณเองก็เคยลองทำแล้วแต่เทียบเขาไม่ได้ ให่สอนหน่อย เช่น หัวหน้าก็ตีกอล์ฟหรอครับ ผมเคยหัดตี ยังไงก็ไม่ไปสักทีหัวหน้าทำยังไงถึงเก่งครับ
  • ต้องทำให้อีกฝ่ายเป็นศูนย์กลางของการสนทนา และต้องไม่อวดภูมิความรู้ตนเอง และเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายโอ้อวดอย่างอารมณ์ดี

บทที่ 4 เคล็ดลับ “วิธีสื่อสาร” ที่ช่วยให้ควบคุมจิตใจคนตามต้องการ

  • คำพูดเวทมนต์ ที่ทำให้พูดเข้าใจง่ายในพริบตา >> พูดง่ายๆก็คือ เหมือน….นั่นแหละ >> พอเข้าใจไหม
  • “ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ” จะช่วยให้อีกฝ่ายรับรู้ข้อมูลจากการมองเห็น (ส่งผลต่อความประทับใจ 55%) >> ถ้าเปรียบเทียบกับ…ก็คือ/ เหมือนกับ/คล้ายกับ
  • หลีกเลี่ยงใช้คำว่า “ทุกคน” หรือ “พวกคุณ” เน้นใช้คำว่า “คุณ” หรือ “ชื่อ” เป็นหลัก
  • วิธีให้รอดพ้นจากการปิดใจจากอีกฝ่าย >> พูดกว้าง อย่าใช้คำตัดสินชี้ชัด ใช้คำ >> อาจจะ… / …ดีกว่านะ >> เธออาจประสบความสำเร็จก็ได้
  • วิธีทำใหัคนอื่นสนใจฟัง >> ให้ผู้ฟังใช้สมอง จะยิ่งจดจ่อมากขึ้น >> ถามว่า “คุณคิดยังไง” >> เว้นจังหวะการพูด
  • การเว้นจังหวะการพูด >> ตอนที่จะพูดเรื่องสำคัญ/ตอนที่ผู้ฟังสมาธิหลุด (มองไปทางอื่น >> อาจกำลังใช้ความคิด หรือไม่ฟัง)
  • การยัดข้อมูลไว้ในประโยคเดียว หรือ 1 สไลด์มากเกินไป ผู้ฟังจะฟังไม่รู้เรื่อง >> พูดประโยคสั้นๆ
  • การไม่ปล่อยของจนหมด เป็นเคล็ดลับสร้างคำวามสัมพันธ์ทุกรูปแบบ เหมือนการเดทกับผู้หญิง

บทที่ 5 เคล็ดลับ “วิธีฟัง” ที่ทำให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสนทนา

  • การจะคุยเก่งได้ การฝึกฟังสำคัญกว่าการฝึกพูด
  • เวลาฟังคนอื่นพูด ต้องฟังโดยคิดว่ากำลังฟังเรื่องที่สนุกที่สุดในโลก >> ทำตัวเป็นหน้าม้า
  • เทคนิกการฟัง >> พยักหน้า, ตอบรับ, ขยับคิ้ว
  • ห้ามขัดจังหวะการพูด และห้ามพูดว่า ไม่ใช่แบบนั้น อย่าทำให้อีกฝ่ายเสียหน้า
  • ตอนฟังที่สัมมนา ให้ฟังด้วยความรู้สึกว่าเราเป็นตัวเอกของงาน

บทที่ 6 เคล็ดลับที่ช่วยให้พูดเก่งระดับสุดยอด

  • ภาษากายสื่อสารได้ดีกว่าคำพูด
  • สีหน้า >> คิ้วและมุมปาก พูดยกมุมปากเสมอ
  • ต้องแสดงสีหน้าด้วยแม้อีกฝ่ายมองไม่เห็นหน้าคุณ เช่น ตอนคุยโทรศัพท์
  • การจะพูดด้วยเสียงที่สร้างความประทับใจ คุณจำเป็นจำต้องแสดงสีหน้าที่ประทับใจด้วย แม้อีกฝ่ายมองไม่เห็นหน้าคุณก็ตาม เช่น ตอนคุยโทรศัพท์
  • ลำตัว >> หนังหลังตรง พิงพนัก เป็นธรรมชาติ นั่งแล้วไม่เมื่อย
  • แขน >> ขยับมือพูดระหว่างพูดด้วย ห้ามกอดอก
  • ปรากฏการณ์กระจกเงา Mirror effect เมื่อเลียนแบบท่าทางหรือบุคคลิกใครสักคน คนนั้นจะชอบเราง่ายขึ้น เช่น นั่งท่าเดียวกัน สั่งกาแฟแบบเดียวกัน
  • วิธีที่ทำให้ไม่ตื่นเต้น >> ปรับท่าทางให้ผ่อนคลาย, หายใจลึกๆ, เคลื่อนไหวช้าๆ ให้สง่าผ่าเผย >> ถึงจะตื่นเต้น แต่คนอื่นจะเห็นเราไม่ตื่นเต้น

บทที่ 7 ปรากฎการณ์ทางจิตวิทยาอันทรงพลังที่นำห้ามไปใช้ในทางที่ผิดเด็ดขาด

  • Pacing พูดปรับความเร็ว จังหวะ น้ำเสียงให้เข้ากับคู่สนทนา >> ถ้าอยากเป็นผู้นำสนทนา ให้พูดเสียงดังกว่สอีกฝ่ายเล็กน้อย
  • Anchoring effect >> ตัวเลขหรือเงื่อนไขตอนแรกจะมีผลต่อผลการตัดสินใจภายหลัง >> อย่าเปรียบเทียบเงิน 1m กับเครื่องสำอาง แต่ให้เปรียบเทียบเงิน 1 m กับรถ กับเงิน 1 m กับความอ่อนเยาว์ 10 ปีแทน
  • Diderot effect >> เทคนิคอยากได้ของครบชุด ทั้งที่ซื้ออย่างเดียวก็ได้ >> เครื่องสำอาง
  • Scarcity effect >> ยิ่งเป็นของหายาก ยิ่งรู้สึกว่าคุณค่าสูง >> ใช้ข้อจำกัดด้านเวลา ไม่ซื้อตอนนี้ไม่ได้แล้ว
  • Boomerang effect >> ทำมากไปส่งผลตรงกันข้าม >> อย่ายัดเยียดไป, จงใจเกินไป
  • Undermining effect >> อย่าใช้รางวัลเป็นแรงจูงใจ ถ้าวันไหนไม่มีก็ไม่ทำ >> ทำให้อีกฝ่ายตระหนักว่า “ตัวเขาทำ เพราะอยากทำ” และห้ามทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่า “ถ้าทำแล้วได้รางวัลตอบแทน”
  • Norm of reciprocity >> การตอบแทนซึ่งกันและกัน บางครั้งทำให้เกิดผลลบ >> บางครั้งเกิด Undermining effect เช่น ไม่มางานสัมมนา เพราะ ไม่เลี้ยงอาหารตามเคย

สรุปส่งท้าย

เป็นอย่างไรบ้างครับกับหนังสือ จิตวิทยาสายดาร์ก ก็หวังว่าสรุปหนังสือนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆไม่มากก็น้อยนะครับ สำหรับคนที่อ่านแล้วก็ใช้เป็นสิ่งทบทวน ส่วนคนที่ยังไม่ได้อ่าน ก็หวังว่าจะเป็นตัวช่วยในการประกอบการตัดสินใจซื้อหนังสือ ซึ่งส่วนตัวสิ่งที่ผมได้บทเรียนจากหนังสือเล่มนี้จังๆ คือ “การคุย หรือชักจูงคนเก่ง ไม่ได้เกิดจากที่เป็นคนพูดเก่งอย่างเดียว แต่เป็นคนที่ใช้ Body language และสร้างภาพลักษณ์เก่งด้วยต่างหากล่ะ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักเลย” ลองไปปรับใช้กันครับ หรือถ้าใครมี Review เพิ่มกับหนังสือเล่มนี้ ก็มาแชร์กันได้ฮะ

P.S. สำหรับใครที่อยากติดตามบทความผมแบบนี้อีก สามารถกด Follow เพื่อรับบทความไปอ่านก่อนใครได้ ก็ขอขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบครับ

--

--

Nut P

มาคุยกันได้ครับ สนใจด้าน Tech & Business fb.com/inut.panpp