ขอเปิดปี 2024 บทความแรกกับการ Review หนังสือชื่อที่หลายองค์กรชื่อดังต่างใช้ ซึ่งผมก็บอกได้เลยครับว่าเป็นหนึ่งคนที่มีปัญหาในการรู้จัก จุดแข็ง จุดอ่อน ตัวเอง ถามว่าถ้ามีคนมาผมถามถึงเรื่องจุดแข็ง จุดอ่อน ผมอะไรนี่ผมตอบไม่ได้นะ พยายามหาหลายทีเองแล้วด้วย ก็มาดูรีวิวผมที่เป็นคนที่มีปัญหาขนาดนี้กัน ถ้าขนาดผมยังฝึกวิชาจากหนังสือเล่มนี้แล้วได้ผล ก็คิดว่าหนังสือเล่มนี้มันน่าจะดีจริงๆและเพื่อนๆทุกคนก็สามารถนำวิชาเอาไปใช้ได้เหมือนกัน มาๆลุยครับผม😉
“ มีโอกาสหนึ่งในล้าน ที่เราจะพิชิตจุดอ่อนและประสบความสำเร็จ แล้วทำไมเราไม่ไปโฟกัสที่จุดแข็งที่เราเก่งอยู่แล้วแทนล่ะ ก็เหมือน ไมเคิล จอร์แดน ราชาบาส ก็ไม่สามารถเป็นราชาแห่งวงการกอล์ฟ หรือเบสบอลได้”
หลายๆครั้งเรามักจะถูกสอนว่าถ้าเรามีจุดอ่อน เราก็ต้องแก้ที่จุดอ่อนเพื่อให้เราได้เป็นคนที่ดีขึ้น แต่หารู้ไม่ว่าวิธีนั้นเป็นวิธีที่ยาก และมีแรงต้านสูงสุด ในทางกลับกันกับสิ่งที่เรามีพรสวรรค์ ที่ทำอะไรก็ดูง่าย จะดีกว่าไหมถ้าเราไปโฟกัสกับสิ่งนี้ในการที่ทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นแทน ทั้งเร็วกว่า ดีกว่า และทำให้ผูกผันกับสิ่งที่ทำมากกว่าสิ่งที่ไม่ถนัดถึง 6 เท่า
มันก็เลยเกิดหนังสือ STRENGTHS FINDER เล่มนี้ขึ้นมา ที่แทนที่เราจะไปโฟกัสแก้ที่จุดอ่อน แต่เปลี่ยนเป็นโฟกัสที่จุดแข็ง หรือพรสวรรค์ของเราให้มันแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งถามว่ามีพรสวรรค์แล้วยังต้องฝึกอยู่ไหม ก็ยังต้องฝึก ก็เหมือนกับเล่นกล้าม ถ้าไม่ไปยกน้ำหนักสม่ำเสมอ กล้ามก็ไม่ขึ้นหรอก แต่ถ้าเรายกน้ำหนักสม่ำเสมอเท่ากับคนที่ไม่มีพรสวรรค์ในการเติบโตของกล้ามเนื้อ เราก็จะมีโอกาสที่จะเห็นผลลัพธ์ที่เหนือกว่าคนเหล่านั้นเป็นอย่างมาก
เนื้อหาประมาณไหน..?
หนังสือเล่มนี้จะทำให้ผู้อ่านรู้จักจุดแข็งของตัวเอง แต่ถ้าจะให้พูดให้ถูก เรียกหนังสือเล่มนี้ว่าเป็นแบบทดสอบอาจจะตรงกว่า เพราะ เป็นหนังสือที่พูดได้ว่าผมอ่านจบเร็วที่สุดในชีวิตตั้งแต่ที่อ่านมา อ่านแบบ 15 นาที 30 หน้า แล้วแบบอารมณ์จบแล้วหรอ ซึ่งหลังจากอ่านจบเขาก็จะให้เอาโค้ดในหนังสือไปทำแบบทดสอบในเว็บ ใช้เวลาเฉลี่ยประมาน 35 นาที มีทั้งภาษาอังกฤษ และไทย แล้วแต่คนถนัด แต่ละข้อมีเวลา 20 วิ ให้ติ๊กเป็นแบบ Likert 5 ระดับ พยายามตอบให้ตรงกับตัวเองมากที่สุดนะครับ
CliftonStrengths Online Talent Assessment | EN — Gallup
หลังจากนั้นเราก็จะได้ Report PDF ที่บอกจุดแข็งหรือพรสวรรค์ของเรา 5 ข้อ อันนี้เป็นของผมเอง ลองดูเป็นตัวอย่างได้
https://drive.google.com/file/d/18IlfV8htjJYsKWCXup-7bsgmjFDfoUGD/view?usp=sharing
ซึ่งเราสามารถไปอ่านเนื้อหาเพิ่มเติมแต่ละ Trait ได้ในหนังสือที่มากกว่าใน PDF ได้ ก็จะมีทั้งยกตัวอย่างเป็นบุคคล วิธีการพัฒนาจุดแข็งตัวเอง และก็วิธีที่จะดีลกับคนที่มีจุดแข็งนั้นๆ
หลายคนคงอาจสงสัยว่าที่ในหนังสือมันมีบอก 34 Traits แล้วอีก 29 Traits หายไปไหนล่ะ ใช่ครับมันมีทั้งหมด 34 Traits แต่ถ้าอยากได้ก็จ่ายอัปเกรดเพิ่มอีกประมาน 1,800 บาท ฮะ ซึ่งถ้ารวมๆกับค่าหนังสือจาก Se-ed 450 บาท ค่าเจ็บก็ราวๆ 2,250 บาท
ก็ถือว่าแอบแพงเลย แต่ผมใช้แนวคิดว่าที่ว่า แค่ 1,800 บาท ถ้ามันได้ทำให้เรารู้จักตัวเอง ราคานี้ก็แค่เล็กน้อย มันเลยทำให้ผมโดนหลอก Upsell package ไป 55
ลองดูเป็นตัวอย่าง Report Strengths 34 ของผมประกอบการตัดสินใจฮะ
https://drive.google.com/file/d/1Ihjb9TspOgXdBcl1hgrTCEHbaoQw1VWV/view?usp=sharing
สิ่งเด่นๆที่ได้เพิ่มขึ้น คือ Report ที่มี Detail เพิ่มมากขึ้น ทั้งเรื่องการเฝ้าระหวังจุดบอดและอื่นๆ รวมถึงการ Unlock Trait 29 ข้อที่เหลือ ที่ข้อ 6–10 ก็เป็นสิ่งที่เราควรโฟกัส และข้ออันดับท้ายๆ ที่แสดงให้ถึง Weakness ของเรา ซึ่งถ้าเพื่อนๆลองดูแล้วมันไม่คุ้ม ก็จ่ายแค่ 450 บาท ซื้อหนังสือ ดูแค่ 5 ข้อจุดแข็งของเราก็พอ
เหมาะกับใคร
ความจริงก็คือเหมาะกับทุกคนที่วัย 30+ เพราะ เขาว่ากันว่า Trait ในเรื่องจุดแข็งที่ถ้าอายุ 30 จะไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว ซึ่งสามารถเอาไปใช้ได้ทั้งกับคนทำงานที่เป็นพนักงานออฟฟิส ผู้บริหาร เจ้าของธุรกิจ หรือถ้าเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น ใช้กับแฟนก็ได้ เมื่อเรากับแฟนรู้จุดแข็งของกันเอง เราก็สามารถนำไปปรับให้เหมาะสมกับชีวิตคู่มากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าการที่จะใช้ประโยชน์ของการรู้จุดแข็งมากที่สุด คือ เราควรแชร์คนให้คนอื่นรู้ด้วย หรือถ้าให้ดีควรมี Coach ช่วยไกด์ในการพัฒนาจุดแข็งของตัวเองด้วยครับ
น่าเชื่อถือได้ขนาดไหน..?
อันนี้พูดยาก ไปแอบอ่านบทความอื่นๆก็บอกตรงกันหมด ไม่รู้หน้าม้าเปล่า แต่วันนี้เราจะไม่เออออไปตามนั้น เรามาพิสูจน์เองดูจากเคสที่ผมทำจริงเลยดีกว่า ผลที่ได้ของผมออกมาประมานนี้ครับหลังจากที่ได้ทำแบบทดสอบมาแบบมึนๆ
- อันดับ 1 นักปรับปรุงแก้ไข (Retroactive) หรือคนที่ชอบแก้ปัญหา >> แว๊บแรก ที่เห็น คือ ตัวเองไม่ได้มี Character เด่นๆด้านนี้ มีคนรอบตัวหลายคนที่มองไปแล้วเป็นคนชอบการแก้ปัญหามากกว่าเยอะ แต่พอมาอ่านลง Detail ใน Report และคิดเหตุการณ์ในอดีต ก็มีหลายอย่างที่ตรง ก็ไม่แน่อันนี้อาจเป็น จุดแข็ง ของตัวเองที่ซ่อนอยู่ก็เป็นได้ 😂
- อันดับ 2 ผู้เห็นความสำคัญ (Significance) หรือคนที่ต้องการสร้างผลกระทบอันยิ่งใหญ่ >> ข้อนี้ค่อนข้างตรงอยู่ ถึงแม้บางครั้งอาจไม่มีการแชร์ Dream ให้คนรอบตัว หรือคนรอบตัวอาจไม่มองเห็น Character ตัวเองนี้ แต่พอมองตัวเองแว๊บแรกคือใช่
- อันดับ 3 นักแข่งขัน (Competition) >> ข้อนี้ไม่ค่อยตรง คือ ก็ไม่ได้ไม่ชอบการแข่งขันนะครับ แต่ปกติเราแพ้บ่อยจนชิน ซึ่งตอนแพ้เราก็ไม่ได้รู้สึกฉุนเฉียว หรือเอาเป็นเอาตายตามที่ใน Report เขียน แต่ถามว่าปกติเป็นคนที่คอยแข่งขันอยู่ตลอดไหม ก็มีแข่งตลอดครับ แต่เป็นการแข็งขันกับตัวเองที่อยากให้ดีขึ้นทุกวัน
- อันดับ 4 ผู้มองอนาคต (Futuristic) >> ข้อนี้ก็ตรง และสะดุ้งมากเพราะเคยได้แชร์กับพี่ในที่ทำงาน เพราะ จากที่สังเกตตัวเอง เมื่อตัวเองทำสิ่งที่ไม่เห็นเป้าหมาย หรือไม่มีแรงบันดาลใจอะไรมาดัน พลังงานในการจะมาทำงานแต่ละวันก็จะน้อยมาก ในทางกลับกันถ้าสิ่งที่ได้ทำ เจอแล้วว่ามีเป้าหมาย หรือมีอะไรที่ Eureka ก็จะมีใจทำงานเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- อันดับ 5 ผู้สร้างสัมพันธ์ (Relator) หรือ คนที่ชอบสานสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด >> หลังจากที่ได้อ่าน Detail และที่สังเกตตัวเอง ข้อนี้ก็ค่อนข้างตรง ก็ปกติเป็นคนจริงใจกับคนใกล้ชิด มั้งนะครับ 55 เดี๋ยวรอให้คนใกล้ตัวเช็กอีกที
.
- อันดับ 34 สุดท้าย นักสื่อสาร (Communication) >> ข้อนี้เห็นแว๊บแรกก็แอบตกใจ ก็รู้ตัวเองว่าไม่ได้เป็นคนพูดเก่ง แต่ความสามารถก็ไม่ได้แย่จนถึงอันดับสุดท้ายปานนั้น ซึ่งข้อนี้บอกเลยว่าทำใจยอมรับไม่ได้ครับ 55
ก็ตรงแบบจริงๆ 3/6 ข้อ ซึ่งอันนี้ก็อาจเป็นการ Bias จากประสบการณ์ตัวเองด้วยก็ได้นะ เหมือนการไปดูดวงหมอดูที่เหมือนเขาทายอะไรก็ตรง แต่เอาเข้าจริงสิ่งที่เขาทายมันเป็นเทคนิกหว่านแหที่พูดเกี่ยวกับปัญหาที่คนปกติมีแทบกันทุกคนอยู่แล้ว ลองไปพิจารณาดูกันได้ฮะ แต่ Anyway เป้าหมายหลักๆของเราก็ยังคงคือหาจุดที่เราคิดว่าใช่ และเรานำจุดนั้นๆไปพัฒนาอย่างต่อเนื่องให้เรากลายเป็นคนที่เก่งขึ้นครับผม ซึ่งมันจะทายออกมาตรงหรือไม่ตรง ถ้าเราได้พัฒนาตัวเอง ก็ไม่เสียหายฮะ
ส่วนตัวก็คงจะไปหา Feedback เพิ่มกับคนที่ไว้ใจและใกล้ชิดต่อ และอาจมีเพิ่มเติมกับ Coach เพื่อที่จะไม่ได้ Bias กับมุมมองของตัวเองจนมากเกินไป ที่ปกติก็ค่อยไม่รู้จักตัวเองอยู่แล้ว 😂 ก็หลังจากได้ Feedback มาแล้ว ผมก็จะเอามาอัปเดตบทความนี้เรื่อยๆนะครับ
สุดท้ายขอแถมสถิติ Trait ของคนไทยที่ทำแบบทดสอบนี้มาประมาน 1 แสนคนในช่วงปี 2018 ครับ ลองไปดูผลกันว่าเราเป็นคนส่วนน้อย หรือส่วนมากของไทย ซึ่งส่วนตัวก็แอบดีใจตัวเองมี Trait ที่คนเขาไม่ค่อยมีกันด้วยถึง 3 ข้อ ดู cool ดี 55
สรุปส่งท้าย
ตอนนี้ผมยังพูดได้ไม่เต็มปากว่าหนังสือนี้ดี จนกว่าจะได้ลองปรับปรุงจุดแข็งตัวเองที่ได้เจอกับหนังสือเล่มนี้เปรียบเทียบผลงานตอนทำงาน ซึ่งถ้าปรากฎว่าการปรับปรุงจุดแข็งนั้นได้ผล 2,250 บาท ยังไงก็คุ้มค่าครับ หรือต่อให้เพิ่มเป็น 10,000 บาทก็คุ้ม เทียบกับสิ่งที่เราค้นหาตลอดชีวิต ในทางกลับกันถ้าผลออกมาแล้วมัน Bullshit ไม่มีประโยชน์ 300 บาท ก็ไม่คุ้มครับ 55 ก็ลองมาดูต่อไปกัน
ใครที่ทำกันแล้วมาแชร์ผลกันได้นะครับ ยินดี
P.S. สำหรับใครที่อยากติดตามบทความผมแบบนี้อีก สามารถกด Follow เพื่อรับบทความเรื่องหน้าไปอ่านก่อนใครได้เลยครับ