EP 88: จบใหม่มา ทำบริษัทอะไรดีให้ได้ประสบการณ์เยอะ

Nut P
3 min readJun 18, 2023

พอดีมีน้องๆ First Jobber มาปรึกษาหลังไมล์ผมหลายคนฮะ และช่วงหลังๆนี้ชอบอ่านเจอพวกโพสผ่านๆประเภทนี้ว่าจบใหม่ควรทำงานองค์กรแนวไหนดี Startup หรือบริษัทใหญ่ เป็นปัญหามืดมนของน้องๆหลายคน เลยไหนๆก็เลยอยากถือโอกาสลองแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยทำงานบริษัทมาหลาย Scale ฮะ เผื่อจะเป็นประโยชน์ให้เพื่อนๆน้องๆประกอบการตัดสินใจ ใครพร้อมแล้วก็ลุย😉

ชีวิตเรากำหนดเอง เลือกงานให้เหมาะกับสไตล์เรา

ก่อนเริ่มก็ขออนุญาตแนะนำ Background ของผมสั้นๆก่อนครับ ป.ตรี ผมจบ BBA Finance ป.โท จบ MIS ส่วนสายงานที่ทำจนถึงปัจจุบันก็จะเป็นแนว Business สาย Tech กลุ่ม Fintech นะครับ สรุปสั้นๆคือเป็นงานที่มีการทำงานไกล้ชิดกับ IT ทั้ง Manage และ Design แต่ไม่ได้ลงมือ Dev เองครับ

โอเคร มาเข้าเรื่องกัน ถามว่าจริงๆแล้ว

จบใหม่มา ทำบริษัทอะไรดีให้ได้ประสบการณ์เยอะสุด

ส่วนตัวผมว่าขึ้นอยู่กับสไตล์การทำงานของแต่ละคน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเป็นคนที่ศึกษาเอง ลุยเดี่ยวเองได้เลย ไปทำสาย Startup, Consult เลยก็ดี แต่ถ้าเราต้องมีคน Guide คนเทรนให้ การทำงานในสาย Corporate ก็อาจดีกว่าเป็นต้น ซึ่งไม่มีถูกไม่มีผิด นอกจากเรื่องประเภทองค์กร Factor เรื่องหัวหน้างาน และเพื่อนร่วมงานอาจมีผลมากกว่าด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ผมขอ Focus เป็นในมุมมองประเภทองค์กรนะฮะ

1) Startup

Photo by Austin Distel on Unsplash

มีหลายบทความบอกว่าการทำ Startup งานแรกจะทำให้ได้ประสบการณ์เยอะ เพราะ บอกว่าได้ทำหลายอย่าง ผมนอนยันบอกได้เลยว่าไม่จริงเสมอไป

ถามว่าได้ทำหลายอย่างก็จริง แต่ถ้างานที่ทำหลายอย่างไม่ได้ช่วยให้สร้างคุณค่าให้สกิลเราพัฒนาขึ้น มันก็คงไม่ใช่ เช่น ทำงาน Admin โทรรับสายลูกค้า ปริ้นเอกสาร ชงกาแฟ ถ้าจะให้ได้ประสบการณ์เยอะจริง คือ การได้ทำงานเป็น Lead และได้ทำงานไกล้ชิดกับ Founder ที่มีวิสัยทัศน์จริงๆ ถึงจะดีฮะ

ส่วนตัวคิดว่างาน Startup ไม่เหมาะกับเด็กจบใหม่ แต่เหมาะกับคนที่เป็น Lead แล้ว ที่เข้าไปแล้วจะได้ประสบการณ์เยอะ เว้นแต่ช่วงที่ไปทำเป็น Early Stage จริงๆแล้วได้โอกาสทำอะไรหลายๆอย่างกับ Founder อันนี้ก็จะได้ประสบการณ์ แต่ศักยภาพของเราก็ต้องเป็น Lead ได้ระดับนึงเลยนะ

ข้อเสียของ Startup คือ ทุนน้อย (ถ้าไม่นับแบบ Agoda, ฺBitkub, Shoppee ที่โตจนผมขอนับเป็น Corporate) ดังนั้นการจะทำอะไรก็จะมีข้อจำกัดเหมือนกัน เราจึงอาจหวังอะไรไม่ได้เยอะนัก ว่าจะได้ทำอะไรที่มี Impact จริงๆ

ข้อเสียอีกอย่าง คือ ส่วนตัวคิดว่ามีโอกาสเจอเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าเก่งยาก ที่เจอเยอะๆก็อาจเป็นเด็กจบใหม่รุ่นใหม่ที่โชคดีเก่งหน่อย เนื่องจากพอเป็นบริษัทเล็กทุนน้อย ไม่มีอะไรดึงดูด แบบแปปๆก็โดนดึงคนไปหมด ดังนั้นคิดง่ายๆ ถ้าแนวการทำงานของเราไม่ใช่แบบ Lead ตัวเองได้จากการทำงานเองเยอะๆ แล้วไม่มีใครสอนงาน หรือมีเทรนนิ่งอะไรให้เราเลย ในฐานะเด็กจบใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์เลย เราจะเก่งขึ้นแบบก้าวกระโดดได้อย่างไร

จากประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยไปทำงาน Startup ช่วงจบใหม่ สเกลประมาน 20 คน คือ แทบไม่ได้อะไรกลับมาเลย ได้แค่รู้ว่ามีการใช้ประโยชน์จาก Tool ฟรีเยอะมาก ที่ช่วย Leverage เรื่องการที่หาไม่ได้จากทำงานสาย Corporate จริงๆ แถมแต้มต่อที่ช่วยเอาไปสมัครงานที่อื่นต่อได้ก็คือไม่ค่อยดีเท่าไร

สรุปสั้นๆ คือ งาน Startup เหมาะกับเด็กจบใหม่ ที่มีสกิลพร้อม Lead และได้โอกาสร่วมทำงานไกล้ชิดกับ Founder เก่งๆจริง ซึ่งมันจะเป็น Shortcut ที่ทำให้เราโตมากกว่าทำงาน Corporate แต่ก็ใช่ว่าโอกาสงานแบบนี้จะหาได้ง่ายๆนะฮะ

2) SME

Photo by Brooke Cagle on Unsplash

อันนี้ผมให้ Context ว่าเป็นบริษัทที่ใหญ่กว่า Startup หน่อย และเป็นบริษัทที่ยังแบบเชิงยุคเก่า ไม่ค่อยแนวใหม่ Tech จ๋า แบบ Startup แต่การทำงานก็จะมีแบบแผน มี Process มีคนสอนงานมากกว่า Startup หน่อย

ประสบการณ์ของผมคือทำงานในบริษัท Software house สเกลประมาน 60 คน ก็เรียกได้ว่าได้ประสบการณ์และได้อะไรกลับมาค่อนข้างเยอะเหมือนกัน เมื่อเทียบกับตอนทำงาน Startup

เนื่องจากในบริษัทแนวนี้จะไม่มีค่อยมีคนยุคใหม่มากนัก การที่เราเป็นคนยุคใหม่แล้วเข้าไปทำงานในองค์กรแนวนี้ เหมือนเราเข้าไปเป็นส่วนเติมเต็มขององค์กรที่อยากได้อะไรใหม่ๆพอดี เลยได้มีโอกาสทำอะไรมี Impact ที่ได้ประสบการณ์เยอะ (เพราะคนอื่นทำไม่เป็น55) แตกต่างจากแนว Startup ที่มีคนยุคใหม่คนประเภทเดียวกันไปหมด แล้วเราจะเข้าไปเติมเต็มอะไร?

การทำงานองค์กรแนวนี้มันจะอยู่กึ่งๆระหว่าง Startup กับ Corporate การทำงานก็ยังคงเบ็ดเตล็ดหลายๆอย่างอยู่ แต่ก็ไม่ถึงกับขนาด Startup ซึ่งก็ต้องเลือกตำแหน่งงานดีๆ เช่น ตำแหน่งที่ได้เจอกับ CEO บ่อยๆ และได้ทำอะไรที่มี Impact เพราะว่าถ้าไปเลือกไปทำตำแหน่งงาน Admin มันก็คงไม่ได้ช่วยอะไรถูกไหมครับ

ข้อเสียก็คือการเติบโต ส่วนตัวคิดว่าตันไว ไม่ได้มั่นคง และก็ไม่ได้มี Opportunity การเติบโตเท่า Startup หรือ Corporate และก็จะไม่ค่อยได้เจอคนเก่งมากนักเท่าไร

นฐานะเด็กจบใหม่ ถ้าคุณไม่ใช่คนที่จะถูกวัฒนธรรมกลืนไปกับองค์กร แต่พร้อมที่จะเสนออะไรใหม่ๆ และมีความคิดเป็นของตัวเองได้ องค์กรสไตล์นี้งานแรกก็พอได้อยู่นะครับ

3) รัฐวิสาหกิจ

Photo by Christina @ wocintechchat.com on Unsplash

ใครบอกสไตล์งานรัฐวิสาหกิจชิวๆ เช้าชาม เย็นชาม บอกได้เลยครับว่าใช่ แต่ไม่ใช่สำหรับเด็กจบใหม่!!

เพราะคนที่สบายก็คือคนไม่ทำงานจริงๆ ส่วนคนที่ทำงานก็คือทำงานอยู่นั่นแหละ ซึ่งเด็กจบใหม่อยู่ข้อหลัง ถามว่าดีไหม ก็ดี เพราะ ทำเยอะ ก็ได้ประสบการณ์เยอะ

การทำงานตรงข้ามแบบสุดโต่งกับ Startup การทำงานค่อนข้างเป็นแบบ Silo ตัวใครตัวมัน และการทำงานของแต่ละคนค่อนข้างจะมีแบบแผน

สำหรับคนที่อยากเป็น Specialist และศึกษาเรื่อง Process ขององค์กรที่เป็นระเบียบ ก็คิดว่าค่อนข้างเหมาะมากครับ

แต่เท่าที่สัมผัสมาจากประสบการณ์ส่วนตัวคิดว่าคนหัวยุคใหม่จะรับกับวัฒนธรรมองค์กรแบบนี้ไม่ค่อยได้ครับ เพราะ มันจู้จี้ จุกจิกมากเกินไป อาจไม่ค่อยเหมาะกับเด็กจบใหม่ที่ไฟแรงสักเท่าไร

ข้อเสียอีกอย่างนึงคือการเติบโตช้ามาก และมีโอกาสที่โดนวัฒนธรรมองค์กรกลืนกินสูง แต่ข้อดีคือมีโอกาสได้เจอกับ Project ใหญ่ๆด้วยการที่มีทุนที่หนา

ส่วนตัวที่แนะนำสั้นๆสำหรับเด็กจบใหม่ ถ้าเรามองจากการที่เอาประสบการณ์จริงๆ งานแรกไม่ควรเอาเป็นรัฐวิสาหกิจครับ ถ้าจะเลือกรัฐวิสาหกิจจริงๆแนะนำให้ไปเลือกส่วนงาน Corporate Innovation ที่เขา Transform เป็นองค์กรยุคใหม่แล้ว เพราะ การที่เราใจแข็งไม่พอ เราอาจมีโอกาสถูกวัฒนธรรมองค์กรกลืนกินและไฟมอดสูงมาก ถ้าจะแนะนำคือไปทำแนว Corporate เลยดีกว่า

4) Corporate

Photo by Sebastian Herrmann on Unsplash

คิดว่าเป็นแนว Common ที่สุดสำหรับของเด็กจบใหม่ทุกยุค อย่างน้อยต่อให้เราไม่ได้ประสบการณ์การทำงานนัก แต่ถ้าบริษัทที่เราเข้าเป็นบริษัทชื่อดัง มันก็จะเป็นแต้มต่อในการเข้าบริษัทต่อๆไป

ส่วนตัวหลังจากจบใหม่ ผมก็ไม่ได้เลือกทำแนว Corporate ทันทีนะ แต่สังเกตจากน้องๆและคนรอบข้าง ก็คล้ายๆกับองค์กรแบบอื่นต้องเริ่มจากตำแหน่งงานที่เลือกควรเลือกอันที่ทำแล้วดูได้ประสบการณ์ก่อน และ Factor สำคัญมากๆคือต้องมีหัวหน้าที่ดี มี Power ที่จะทำให้เราได้ประสบการณ์โตแบบก้าวกระโดดได้

ข้อเสียของ Corporate เทียบกับ Startup คือ เด็กจบใหม่จะมีโอกาสได้เข้าร่วม หรือได้ทำ Project อะไรสำคัญๆยาก แต่ถ้าได้เข้าร่วมก็ถือว่าจะเป็นอะไรที่โชคดีมาก เพราะ Project ที่ได้เข้าร่วมมักเป็น Project ที่ใหญ่ที่หาได้ในระดับ Startup ยาก

ส่วนตัวคิดว่าการเลือกทำ Corporate เป็นทางเลือกที่เซฟสุดที่จะได้เจอเพื่อนร่วมงานเก่งๆและได้ประสบการณ์ มีคน Train ให้ มี Resource ช่วยสนับสนุนการทำงาน แต่ถ้าใครหวังสูงหน่อย แบบอยากเป็น Lead โตแบบก้าวกระโดดเลย อันนี้ก็อาจยากหน่อยฮะ แต่ก็ยังพอมีทางอยู่คือการไปเข้าไปทำงานในบริษัทลูกช่วงที่เริ่มต้น Spin-off ออกไปครับ ก็จะมีโอกาสได้ทำอะไรมีประสบการณ์เยอะ

สรุปแล้วแนว Corporate ถามว่าเหมาะกับเด็กจบใหม่แบบไหน คือ แบบไม่คิดอะไรมาก ถ้าไม่ได้มีตั๋วพิเศษทำใน Startup หรือเริ่มธุรกิจอะไร ก็แนะนำว่าให้เลือกแนว Corporate ที่มีชื่อ และมี Culture ให้กับคนจบใหม่เติบโตไปก่อนเลยครับ

5) Consult

Photo by krakenimages on Unsplash

ส่วนตัวผมไม่เคยทำ Consult นะครับ แต่เท่าที่สัมผัสจาก Consult ที่ทำงานด้วย และเพื่อนๆที่เคยทำงานสายนี้ ก็ถือว่าเป็นที่ให้ประสบการณ์ที่ดีสำหรับเด็กจบใหม่เลย

ถ้ามีโอกาสได้ทำ Big 3 (Bain. McKinsey, BCG) อันนี้ก็แนะนำเลยครับ แค่ทำผ่านไปได้ 2 ปี ก็คิดว่าได้เป็นยอดมนุษย์แล้ว แต่ด้วยการที่ได้ประสบการณ์เยอะ ก็ต้องแลกมาด้วยกับงานที่หนักนะครับ

ข้อดีของการทำ Consult คือมันจะมี Framework อะไรให้เราเรียนรู้เยอะ และช่วงจบใหม่มีโอกาสได้ทำอะไรเยอะกว่ามากกว่าการทำงานแบบสาย Corporate และอีกข้อดีคือมีโอกาสได้ทำ Project หลายบริษัท หลาย Industry ก็อาจเป็นที่ชื่นชอบสำหรับคนที่อยากเก็บประสบการณ์

สำหรับเด็กจบใหม่ที่อยากได้ประสบการณ์ สาย Consult นี้ก็ถือว่าแนะนำ แต่อาจต้องแลกมากับ Work life balance กับความเปลี่ยนแปลง ที่อาจไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นเลย ก็ต้องลองดูดีๆครับ

6) ทำธุรกิจเอง

Photo by Clay Banks on Unsplash

อันสุดท้ายนี้บอกได้เลยว่าสำหรับเด็กจบใหม่ถ้าทำธุรกิจเป็นของตัวเองได้ ได้ประสบการณ์เยอะแน่นอน เพราะ มันต้องทำอะไรเองทุกอย่าง แต่จะรุ่งหรือเจ๊งก็อีกเรื่องนึงนะครับ 55

ต่อให้เจ๊งนะครับ ลองมองย้อนตัวเอง Before กับ After หลังทำธุรกิจนะครับ ผมเชื่อว่าทุกคนจะเห็นความแตกต่าง ขนาดที่ผมเคยเห็นคนทำแบบไม่จริงจัง ยังสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงเลย

สรุปคือสำหรับเด็กจบใหม่ คือ เชียร์ครับ ให้ลองเริ่มต้นทำธุรกิจอะไรสักอย่างเอง

สรุปส่งท้าย

ก็อันนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวผมนะฮะ ถ้าเจออะไรมา หรือมองไม่เหมือนกัน อาจต้องขอประทานอภัย ซึ่งผมเชื่อว่าการมองหางานแรกเป็นปัญหาที่มืดมึนสำหรับเพื่อนๆน้องๆหลายคน ผมบอกได้เลยครับว่ามันจะดีขึ้นหลังจากเราได้เริ่มงานแรก และไม่ต้องกังวลนะครับว่าถ้างานแรกที่เราเลือกเริ่มต้นมันออกมาไม่ค่อยดี มันเป็นเรื่องปกติของคนทุกคน

ชีวิตคือการเดินทาง จุดจบไม่ได้อยู่ที่จุดเริ่มต้น

ถ้างานแรกที่เราเลือกมันไม่โอเคร เราก็แค่เปลี่ยนใหม่แค่นั้น Easy แต่ถึงยังไงก็อยากให้ลองพยายามให้เต็มที่ก่อนนะครับ😉

สำหรับใครที่อยากให้ได้แชร์บทความดีๆแบบนี้อีก ก็อย่าลืมกด Follow กันนะครับ วันนี้ขอจบเพียงเท่านี้ ขอบคุณครับ🙌🙌

--

--

Nut P
Nut P

Written by Nut P

มาคุยกันได้ครับ สนใจด้าน Tech & Business fb.com/inut.panpp

Responses (1)