EP 66: นิทาน เจ้าหมาในวันใบไม้ผลิ -It’s Okay to Not Be Okay กับข้อคิดในชีวิตการทำงาน

Nut P
2 min readMar 26, 2022

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว…มีหมาน้อยตัวหนึ่ง ที่เก็บความรู้สึกตัวเองได้เก่งมากๆ เจ้าหมาใช้ชีวิตถูกผูกไว้ใต้ร่มเงาไม้ มันชอบกระดิกหาง แถมยังน่ารักน่าเอ็นดูมาก ชาวบ้านในหมู่บ้านเลยพากันเรียกมันว่า ‘เจ้าหมาในวันใบไม้ผลิ’

เจ้าหมาตอนกลางวันมันชอบเล่นกับเด็กๆ อย่างสนุกสนาน แต่พอตกดึก มันกลับส่งเสียงคราง แล้วแอบร้องไห้อยู่ลำพัง จริงๆแล้วเจ้าหมาตัวนี้อยากปลดเชือกที่ล่ามมันไว้ และไปวิ่งเล่นในทุ่งกว้างของฤดูใบไม้ผลิ แต่เพราะมันทำแบบนั้นไม่ได้ เลยต้องร้องไห้อย่างเศร้าสร้อยทุกคืน

แล้ววันนึง หัวใจของเจ้าหมาในวันใบไม้ผลิก็กระซิบถามมันว่า “นี่ ทำไมนายไม่ปลดเชือก แล้วหนีไปซะล่ะ”

เจ้าหมาใบไม้ผลิจึงตอบกลับไปอย่างเศร้าสร้อยว่า “ฉันโดนผูกเชือกมานานมาก เลยลืมวิธีปลดเชือกไปหมดแล้ว”

By โกมุนยอง It’s Okay to Not Be Okay EP 7

It’s Okay to Not Be Okay EP 7

นิทานของเจ้าหมาใบไม้ผลิผู้ที่ต้องการปลดเชือกเพื่อไปวิ่งเล่นหาความสุขในทุ่ง แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะ ใช้ชีวิตที่ถูกล่ามเชือกอย่างคุ้นชิน จนลืมวิธีปลดเชือกตัวเองไปแล้ว

เหมือนพระเอก มุนคังเท ในซีรีย์ It’s Okay to Not Be Okay ที่โดยล่ามเชือกจากคำว่าภาระในการดูแลพี่ ที่ตัวเองยังจำฝังใจสิ่งที่ทำผิดพลาดในอดีต จนต้องยกทั้งชีวิตและความสุขทั้งหมดให้พี่ไป

ซึ่งในซีรีย์เหมือนเป็นฉากจบ Happy Ending ที่ต่อจากในนิทาน เพราะ พระเอกผู้ที่ไม่สามารถปลดเชือกที่ผูกมัดด้วยตัวเองได้ ได้ค่อยๆถูกคลายปมจากนางเอก จนในที่สุดเชือกที่รั้งเขาก็หลุดไป และสามารถใช้ชีวิตหาความสุขให้กับตัวเองได้อย่างมีอิสละ

ดังนั้นจงจำไว้ว่า

ให้ความสุขกับผู้อื่นแล้ว ก็อย่าลืมให้ความสุขกับตัวเองด้วย

จงอย่ายึดติดกับอดีต เพราะชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า

เราอาจจะอยู่ในบรรยากาศที่น่าเบื่อจนคุ้นชิน จนจิตใจเราชินชา

แต่ก็อย่าถูกมันกลืน จนถึงจุดที่เราอยากจะจากกับมัน แต่ทำไม่ได้ เหมือนเชือกที่ล่ามคอหมาใบไม้ผลิไว้

ยิ่งปล่อยไว้นาน ปมยิ่งแน่น

จงคลายปมตั้งแต่เนิ่นๆ

แต่ถ้ามันแน่นเกินกว่าที่จะคลายปมได้ด้วยตนเองได้แล้ว

อย่าลืมที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น

เพราะในโลกนี้ เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว

It’s Okay to Not Be Okay EP 7

ถ้าเปรียบกับการทำงานก็เหมือนวัฒนธรรมองค์กรที่เราไปทำ

สังคมที่เราอยู่ วัฒนธรรมที่เราเจอ มันจะค่อยหล่อหลอมให้เป็นคนประเภทเดียวกับคนกลุ่มนั้น

เราจะเปลี่ยนไป และสุดท้ายจะถูกกลืนในที่สุด

ดังนั้นจงไปอยู่องค์กรที่เป็น Role Model ที่เราอยากเป็น

ถ้าคุณอยากเติบโตไว จงไปอยู่ในองค์กรที่มีคนเต็มไปด้วย Energy

แต่ถ้าชีวิตคุณต้องการความมั่นคง จงไปอยู่องค์กรที่ล้วนมีแต่คน Conservative

การไปอยู่นี้จะ Reflect สิ่งที่คุณกำลังจะเป็นในอนาคต

ดังประโยคที่เราเคยได้ยินกันบ่อยๆว่า

เพื่อนที่คบ หนังสือที่อ่าน สังคมที่อยู่ จะเป็นตัวตนของเราในอีก 5 ปีข้างหน้า

ซึ่งการไปอยู่ในแต่องค์กรแต่ละสไตล์ ไม่มีถูกหรือผิด ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของแต่ละคน

แต่ในความเป็นจริงของชีวิต เราอาจจะไม่สามารถเลือกไปอยู่กับองค์กรที่ Match กับเป้าเราได้

ก็จงอย่าลืมว่า อย่ายอมให้วัฒนธรรมในสิ่งที่เราไม่อยากเป็นนั้นกัดกินเราจนหมด

จงสู้กับมัน ถ่วงเวลาการกัดนี้ให้ช้าที่สุด

โดยวิธีแก้การกัดกินนี้ มีแค่ 2 วิธี คือ

(1) ต้องจากมันไป หรือ (2) เราจะเป็นผู้เปลี่ยน ซึ่งแน่นอนการที่จะเป็นผู้เปลี่ยนต้อง Put Effort อย่างมากแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้

ยิ่งถูกกลืน ยิ่งจากมันยาก

เหมือนเชือกที่มันรัดแน่น ที่ถ้าคุณจะคลาย คุณก็ต้องใช้แรงที่เพิ่มขึ้นพอๆกัน

ดังนั้นถ้ามีสิทธิ์เลือก

จงเลือกอยู่กับสิ่งที่เราอยากเป็น

ถ้าไม่ใช่จงรีบเปลี่ยน

ถ้าเปลี่ยนด้วยตัวเองไม่ได้ จงหาคนช่วยสนับสนุน

เพราะชีวิตเรา ช่างสั้นยิ่งนัก

ชีวิตเป็นของเรา ไม่ใช่ของใคร จงอยู่กับคนที่สนับสนุนเสียงหัวใจ และเดินไปพร้อมกับมัน

จงคบกับคนที่ชวนกันไปวิ่งเล่นกันในสวน แทนที่จะเป็นคนผูกเชือกเหนี่ยวรั้งเราไว้

สรุปส่งท้าย

จบไปแล้วกับนิทานอีกตอนของซีรีย์ It’s Okay to Not Be Okay ซึ่งในความคิดเห็นส่วนตัว ผมคิดว่าเป็นตอนที่ดาร์กน้อยที่สุดครับ แต่ก็ยังคงให้ข้อคิดดีๆสอนใจแฝงไว้เหมือนเดิม อย่างเรื่องนี้สิ่งที่ได้จากเรื่องเจ้าหมาใบไม้ผลิเลย คือ เรื่องการโดนผูกมัดจากบางสิ่ง ซึ่งถ้าเราอยากจะมีความสุข เราก็ต้องรีบแก้มันโดยเร็ว ก่อนที่ปมมันจะแน่นจนเกินไป

แล้วเพื่อนๆละครับได้ข้อคิดอะไรจากเรื่องนี้บ้าง วันนี้ผมก็ขอจบเพียงเท่านี้นะครับ แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้านะครับ ขอบคุณครับ

--

--

Nut P

มาคุยกันได้ครับ สนใจด้าน Tech & Business fb.com/inut.panpp