พาเวล ดูรอฟ (Pavel Durov) ผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่าง มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก แต่มีหน้าตาที่หล่อสาวกรี๊ดมากกว่า มาร์ก หลายเท่า จนได้ถูกขนามนามว่า เจ้าชายไอทีแห่งรัสเซีย แล้วทำไมคนถึงเอาเขาไปเทียบกับ มาร์ก นั่น เพราะว่า พาเวล เป็นผู้ก่อนตั้ง VK และ Telegram ซึ่งทั้ง 2 อันเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กชื่อดังระดับโลกทั้งนั้น!! เราคงชินกับการฟังประวัติของ Facebook จนหูชากันมากแล้วละ ดังนั้นวันนี้เรามาฟังประวัติผู้ก่อตั้ง VK และ Telegram กัน โอเครครับ อย่ารอช้า ติดตามกันต่อได้เลย!!
อะไรที่คุณเขียนไป อย่าไปสนใจว่ามีคนอ่านหรือเปล่า สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ คุณได้เรียนรู้ในการคุยกับตัวเอง
พาเวล ดูรอฟ (Pavel Durov) เกิดในรัสเซียปี 1984 เรียนจบปริญญาตรีด้านภาษาศาสตร์ที่ St. Petersburg State University ด้วยผลการเรียนที่ดีเยี่ยมจนได้รับรางวัลมากมาย ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจในวันเด็กของเขา คือ พาเวล ได้สร้างเกมส์คอมพิวเตอร์ขึ้นเองตั้งแต่ตอนอายุเพียง 11 ปี ซึ่งนั้นอาจเป็นเหตุผลที่เขามาเอาดีทำธุรกิจด้านเทคโนโลยีในปัจจุบันก็เป็นได้
VKontakte
เรื่องราวโซเชียลเน็ตเวิร์คชื่อดัง VK ที่เรารู้จักกันอยู่ทุกวันนี้เริ่มต้นช่วงที่ พาเวล กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย โดยพาเวล กล่าวว่ามันเริ่มจากที่เขาได้เริ่มทำโปรเจคเขียนเว็บไซต์ให้มหาวิทยาลัย ทั้ง durov.com และ spbgu.ru แต่ปัญหาของการทำเว็บไซต์เหล่านั่น คือ คนที่ใช้งาน ใช้แต่ชื่อเล่นตัวเอง เลยไม่มีใครรู้ว่าแต่ละคนที่ลงทะเบียนมาใช้ระบบเป็นใคร ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะเจาะ ที่เพื่อนของเขาจาก USA กลับมาพอดี และได้เล่าเรื่อง Facebook ให้ฟัง นั่นทำให้เรื่องราวของ Facebook แห่งรัสเซียเริ่มขึ้น
VK หรือชื่อเต็ม VKontakte ถูกเปิดตัวให้ใช้งานในวันที่ 10 ต.ต. 2006 ที่เป็นวันครบวันเกิด 22 ปีของพาเวลพอดี โดยเขาได้ร่วมสร้างกันกับพี่ชายของเขา (นิโคไล ดูรอฟ) ซึ่งด้วยที่ VK ออกแบบมาให้ใช้ได้ฟรี และใช้งานได้ง่าย คนจึงแห่เข้ามาเล่น VK กันอย่างมหาศาล ผ่านไปไม่กี่อาทิตย์ VK ต้องถูกขยายเซิฟเวอร์ จนกระทั่งพอผ่านไป 3 เดือน VK ก็ได้ถูกรับรองให้เป็น 50 เว็บชื่อดังในรัสเซีย
ช่วงเวลาที่เปิด VK มา พาเวลก็ได้ลองใช้โมเดลหารายได้หลายแบบ เริ่มตั้งแต่การขาย SMS ให้คนซื้อเพื่อเพิ่มเรตติ้งโปรไฟล์ใน VK หรือต่อมาก็ได้มีการใช้ขายของขวัญใน VK ที่ผู้ใช้สามารถซื้อเป็นเหรียญในเกมส์ที่เล่นใน VK และส่งให้กันได้ และสุดท้ายในปี 2009 VK ก็ได้เริ่มใส่โฆษณาเข้าไป และหักส่วนแบ่งจากการโฆษณา ทำให้ตั้งแต่นั้น VK ได้รายได้กลับมาเป็นกอบเป็นกำ
ในปี 2007 พาเวล เคยกล่าวว่าเขาจะไม่มีวันลาออกจาการทำ VK แต่พอผ่านไป 7 ปี ด้วยการที่เขามีปากเสียงกับหุ้นส่วนที่มาลงทุนในธุรกิจ สุดท้ายเขาก็ขายหุ้นใน VK ทิ้ง และลาออกจากบริษัทไปในปี 2014
Telegram
แต่ก่อนที่ พาเวลา จะลาออกจาก VK เขาก็ไม่ได้ลาออกมาแบบตัวเปล่าพร้อมเกษียณ โดยในปี 2013 พาเวล ได้ก่อตั้งโซเชียลเน็ตเวิร์คชื่อดังอีกตัว หรือ Telegram โดยไอเดียนี้ก็เกิดจากเพื่อน USA คนเดิมที่เคยมาเชียร์เขาตอนทำ VK ครั้งแรกนั่นแหละ
Telegram ก็เป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กที่ให้บริการคุย Chat คล้ายๆ Line ซึ่งปัจจุบันถูก Facebook ซื้อไปด้วยมูลค่า $19 พันล้าน โดยว่ากันว่าก่อนที่เขาจะออก VK เขาก็ได้ใช้คนจาก VK นี่แหละ ในการช่วงสร้าง Telegram ให้เป็นรูปเป็นร่าง
ฟีเจอร์เด่นของ Telegram ที่เรียกได้ว่านิยมจนทะลุมาถึงเมืองไทยในช่วงวิกฤตการเมือง นั่นคือเรื่อง Data Encryption ที่มีการป้องกันซ้อนทับหลายชั้น จนไม่ต้องห่วงว่าข้อมูลผู้ใช้จะรั่วไหล ซึ่งแน่นอนไม่ใช่แค่เมืองไทยที่คนหันมาใช้ Telgram ในช่วงที่มีประเด็นเรื่องการเมือง แต่ในฝั่งรัสเซียเองก็เช่นกัน หลายครั้งที่รัฐบาลรัสเซีย พยายามที่แทรกแซง Telegram และเอาข้อมูลการ Chat ของผู้ใช้ ด้วยการเอา Encryption Key ไป แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะ ด้วยเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยของ Telegram นั่นเอง
แน่นอนว่าช่วงที่พาเวลปฏิเสธ การให้ Encryption Key แก่รัฐบาลรัสเซีย รัสเซียก็ได้โจมตี Telegram อย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยข่าวที่คอยย้ำว่า Telegram เป็นแหล่งศูนย์รวมปล่อยข่าวสำหรับผู้ก่อการร้าย หรือจะเป็นแหล่งพวกผู้ค้ายา โดยในเดือน เมษา ปี 2018 ทางรัฐบาลรัสเซียได่แบน Telegram อย่างเป็นทางการ
แต่ถึงอย่างไรก็ตามในช่วง ปี 2018 Telegram ก็สามารถระดมทุน ICO ได้มากเป็นประวัติศาสตร์ ที่ได้มาทั้งสิ้นจำนวน $2.7 พันล้าน และมากไปกว่านั้น ชาวรัสเซียก็ยังคงนิยมใช้ Telegram กันจนปัจจุบันด้วยการใช้ผ่าน VPN แม้ว่ารัฐบาลรัสเซียจะล็อค Telegram ไปแล้วก็ตาม นับได้ว่าเป็นความสำเร็จของ พาเวล ในการออกแบบโซเชียลเน็ตเวิร์คแนวคิดแบบสุดโต่งนี้จริงๆ
สูตรลับการประสบความสำเร็จของ พาเวล ดูรอฟ
ในปี 2021 พาเวล มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิทั้งสิน $3.4 พันล้าน (1 แสนล้านบาท) และได้รับฉายาว่า “มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก แห่งรัสเซีย” ซึ่งพาเวลเคยได้ทำการสัมภาษณ์และบอกสูตรลับที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ ดังนี้
- คุณต้องเก่งในสิ่งที่คุณชอบ แล้วคุณจะทำมันด้วยความสุข
- ทิ้งพวกขยะที่คุณกิน, ดูด, ดื่ม ออกไปซะ อย่าไปเชื่อเรื่องเวทมนต์ในการลดความอ้วน เพียงแค่คุณกินผัก, ผลไม้ออแกนิค และดื่มน้ำสะอาดก็เพียงพอแล้ว
- เป็นคนกินแต่มังสวิรัติ ไม่ใช่ว่าจะเป็นกุญแจที่ทำให้คุณประสบความสำเร็จนะ รวมถึงเรื่องการไม่ดื่มแอลกฮอลด้วย มันไม่ใช่เรื่องงด แต่เป็นเรื่องที่คุณต้องรู้ Limit ของตัวเอง
- เรียนภาษาที่ 3 แล้วความคิดที่มีต่อโลกของคุณจะขยายกว้างไปอีกก้าว และมันยังทำให้คุณเจอโอกาสในการทำธุรกิจ และการพัฒนาตนเองที่มากขึ้น
- คอยอ่านหนังสือพัฒนาตัวเองที่เกี่ยวข้องในสายงานของคุณ ถ้าคุณขีเกียจอ่านหนังสือ อาจใช้เป็นการฟัง Audio Book แทนก็ได้
- ใช้เวลาวันหยุดให้มีประโยชน์ อยู่กลับครอบครัว ไปโรงหนัง ปิกนิก กินอาหารกลางวันเพื่อนๆ หรือจะให้พูดง่ายๆคือ พยายามไปเปิดโลกให้กว้าง
- อะไรที่คุณเขียนไป อย่าไปสนใจว่ามีคนอ่านหรือเปล่า สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ คุณได้เรียนรู้ในการคุยกับตัวเอง
- เขียนเป้าหมายของคุณไว้ใน สมุด, ไดอารี่ หรือในบล็อคของคุณ ซึ่งมันต้องจับต้องได้, วัดได้, และมีเวลาในการถึงเป้าหมายมากำกับ
- พยายามเรียนรู้ในการพิมพ์โดยการไม่มองที่คีย์บอร์ด เพราะ เวลา คือ สิ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับคุณ ดังนั้นคุณเอาเวลาไปนั่งคิดกับการว่าจะคิดอะไร แทนที่จะเป็นการหาตำแหน่งตัวอักษรบนคีย์บอร์ด การตัดสินใจของคุณต้องเร็ว และต้องลงมือทำทันที อย่าไปผลัดวันประกันพรุ่ง
- พยายามใช้เวลาให้น้อยที่สุดกับการนั่งดูทีวี, เล่นเกมส์, เล่นเน็ต รวมถึงการเรียนโซเชียลเน็ตเวิร์กด้วย
สรุปส่งท้าย
เป็นอย่างไรบ้างครับกับประวัติการทำธุรกิจของเจ้าชายไอทีของรัสเซีย สิ่งที่ผมชอบเลยคือการที่เขายึดมั่นคอนเซปต์ในการทำธุรกิจของ Telegram ที่เป็นคนไม่กี่คนในโลกหรอกที่กล้าชนกับรัฐบาลในประเทศตัวเอง แล้วยังประสบความสำเร็จออกมาได้ และสิ่งที่ผมชอบของเขาอีกอย่าง คือ การที่เขาเป็นคนที่มีเป้าหมาย และให้ความความสำคัญในการที่คอยพัฒนาตัวเองเป็นอย่างมาก ซึ่งมันเป็นหนึ่งพฤติกรรมของคนที่ประสบความสำเร็จส่วนมากชอบทำกันครับ โอเครครับ วันนี้ผมก็ขอจบเพียงเท่านี้ แล้วพบกันใหม่ครับ ขอบคุณครับ