วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องของ ดัสติน มอสโกวิส (Dustin Moskovitz) อดีตผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook ที่ได้ลาออกเมื่อปี 2008 มาเพื่อสร้าง Asana แพลตฟอร์มทำ Workflow แทน ก็ไม่รู้นะครับว่าเขาตัดสินใจโดยใช้แนวคิดอะไรถึงได้กล้าลาออกจากบริษัทที่กำลังไปได้ใกลอย่าง Facebook ซึ่งเขาว่ากันว่าช่วงก่อตั้ง Facebook ถ้าขาดเขาไป Facebook ก็คงไม่เกิด แต่ถึงอย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาลาออก ในปี 2011 เขาก็ได้ถูกยกย่องจาก Forb ว่าเป็นบุคคลอายุน้อยที่รวยที่สุด โห!! แปลว่าตัดสินใจไม่ผิด ประวัติน่าสนใจมากไหมครับ ถ้าน่าสนใจ เชิญติดตามเรื่องราวของเขาต่อไปได้เลย
“ผมไม่ได้อยากออกมาเป็นผู้ประกอบการนะ แต่ไอเดียที่คิดได้มันพาไป“
ดัสติน มอสโกวิส (Dustin Moskovitz) เป็นชาวยิวเกิดที่เมืองฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 1984 โดยมีพ่อเป็นจิตรแพทย์ แม่เป็นศิลปิน
ตอนปริญญาตรี เขาได้เรียนเศรษฐศาสตาร์ที่มหาวิทยาลัยฮาเวิร์ด แต่พอเรียนไปได้สัก 2 ปี เขาก็ได้หยุดเรียน เพื่อกลับไปทำโปรเจค Facebook กับ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ที่เมืองฟลอริด้า
ดัสติน เริ่มทำ Facebook ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ในปี 2004 ร่วมกับรูมเมทของเขา มาร์ค, คริส, แอนดรูว์ และผองเพื่อน ที่เราได้ยินเกี่ยวกับประวัติผู้ก่อตั้ง Facebook จนถึงทุกวันนี้ โดยช่วงแรก Facebook สร้างขึ้นมาเพื่อให้นักเรียนฮาเวิร์ดใช้ในการค้นหาเพื่อนในมหาวิทยาลัยง่ายๆ แต่ด้วยการตอบรับกลับมาที่ล้นหลาม ทำให้ Facebook มีการพัฒนาต่อไปข้างหน้าอีก
ด้วยเหตุนั้น ดัสติน, มาร์ค และผองเพื่อน จึงได้นัดกันหยุดเรียน แล้วทำ Facebook ที่ฟลอริด้ากัน แบบ Full Time เพื่อที่ Facebook จะไม่ได้จำกัดอยู่ในแค่รั่วของฮาเวิร์ดเท่านั้น แต่ขยายไปถึงทั่วโลก โดยที่ช่วงแรกดัสดิตได้รับผิดชอบในตำแหน่ง Lead Programmer และเป็นหัวหน้าแผนกด้าน Technical ของ Facebook ซึ่งก่อนที่ดัสตินจะมารับนี้นั้น เขาเพิ่งมาเรียนเขียนโปรแกรมได้ไม่กี่วัน แล้วก็ลุยมาเขียนโปรแกรม Facebook เลย
ในปี 2008 ก่อนที่ดัสตินจะไปสานฝันสร้างบริษัทตามวิสัยทัศน์ของตัวเอง เขาได้เป็นตำแหน่ง VP และ CTO ด้านวิศวกรรมของ Facebook ซึ่งตอนดัสตินลาออกเขากล่าวว่ามันเป็นสิ่งหนึ่งที่หนักใจสุดที่สุดในชีวิตของเขา แน่นอนว่ามาร์คก็ต้องเศร้ากับการจากไปนี้
ดัสตินกล่าวว่าความจริงเขาไม่ได้อยากออกมาทำเป็นนักธุรกิจหรอก แต่ด้วยการที่เขาหมกหมุนการทำงานกับทีมใน Facebook และเห็นปัญหากับใช้ Tool ในการช่วยกันทำงานเป็นทีม ที่ปัจจุบันมีแต่กองอีเมล ซึ่งเขาอยากออกมาแก้ปัญหานี้ ช่วงก่อนที่เขาลาออก ดัสตินได้ใช้เวลาทุกคืน และช่วงเสาร์อาทิตย์ ในการสร้าง Tool ในการช่วยจัดการโปรเจคและทีม และหลังจากที่พัฒนาสำเร็จ เขาก็ได้เลยลาออกจาก Facebook กับจัสติน มาสร้าง Asana แพลตฟอร์มทำ Workflow ชื่อดังที่เราได้ยินกันจนถึงทุกวันนี้
ดัสตินกล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดของการเป็นผู้ประกอบการ คือ การมีไอเดียที่ดีเยี่ยม
มีหลายคนที่กำลังสร้างไอเดียเล็กๆกัน
มันมีหลายสิ่งที่จำเป็นการในการเป็นผู้ประกอบการ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีไอเดียที่ดีเยี่ยม
โดยจัสตินผู้ที่ลาออกจาก Facebook มาก่อตั้ง Asana ร่วมกับดัสตินกล่าวว่า
มันไม่ได้ฉาวโฉ่แบบ Social Network หรือแบบพุ่งไปได้ใกลเหมือน AI นะ
แต่การทำงานในบริษัททุกที่ มันต้องมีสิ่งที่ช่วยเชื่อมการทำงานกัน
มันเหมือนเป็นโอกาส ที่เราไม่มีทางตอบว่า ไม่ ได้เลย
หลังจากหลุดจากพันธะในการที่มีนักลงทุนมาถือหุ้นในบริษัท เขาและจัสตินได้ใช้เวลาในการพัฒนาระบบและคุยกับลูกค้าอย่างสบายใจ ก่อนที่ปล่อย Asana เวอร์ชันแรกในปีปลายปี 2011 ซึ่งเขาได้ใช้โมเดลธุรกิจแบบ Freemium โดยให้ใช้คนใช้ฟรี 6 เดือนไปก่อน แล้วขายเวอร์ชันอัปเกรดเอาเงินทีหลัง
หลังจากที่ Asana ได้ออกเวอร์ชันแบบเสียเงิน $10.99 ต่อเดือน ในปี 2012 เขาก็ไม่ได้ใช้กลยุทธ์การขายแบบที่ทำการจ้างพนักงานขายแบบจำนวนมากมาขายโปรแกรมเหมือนวิธีดั้งเดิมทั่วไป แต่กลับกัน ดัสติน โฟกัสไปที่ทาง Online ในการใช้ Search Engine และการใช้วิธีแบบแนะนำปากต่อปาก ซึ่งโชคดีมีบริษัทชื่อดังหลายบริษัทกำลังพบปัญหาในการหา Tool มาบริหารทีม ทำให้บริษัทเหล่านั้นกลายเป็นลูกค้า และด้วยเหตุที่ Asana สามารถใช้งานได้ง่าย และยืดหยุ่นต่อทุกๆอุตสาหกรรม ทำให้ Asana ขยายไปหลายองค์กรอย่างรวดเร็ว และนั่นคือความสำเร็จก้าวแรกของ Asana
ส่วนการทำงานภายในของบริษัท ดัสตินได้ลงเวลาเป็นอย่างมากในการคิดผังองค์กร เพื่อใช้ในการเป็นรากฐานของบริษัท โดยเขาได้ลงเวลาไปในการศึกษาวัฒนธรรมของบริษัทด้วยการมานั่งสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็น โค้ช, ผู้บริหาร จากหลายๆที่ใช้เวลาเป็นแรมปี นอกจากนั้นดัสตินยังไปศึกษาการปฏิธรรมของศาสนาพุทธและพวกกลยุทธ์ในการเป็นผู้นำ เพื่อที่เขาจะได้สร้างแผงผังองค์กรของบริษัทได้ออกมาเพอร์เฟคที่สุด ซึ่งผลที่ได้ออกมา คือ เขาได้องค์กรที่ตั้งตำแหน่งหัวหน้าระดับ Head เป็นเรื่องๆในแต่ละโปรเจค แทนที่จะให้ตำแหน่งชื่อผู้บริหารเหมือนแบบดั้งเดิม
ปัจจุบัน Asana ก็ได้เขาตลาดหุ้น และมีมูลค่าบริษัทกว่า $4 พันล้าน ด้วยรายได้ $142.2 ในปี 2019 ซึ่งคาดว่าก็ยังก็คงเติบโตต่อไปในอนาคตเรื่อยๆอีก
ในปี 2011 เขาก็ได้ถูกยกย่องจาก Forb ว่าเป็นบุคคลอายุน้อยที่รวยที่สุด และในปี 2020 นี้ เขาก็ได้มีทรัพ์สินถือครองทั้งสิ้น $1.4 หมื่นล้าน (420,000 ล้านบาท) ซึ่งด้วยตัวเลขนี้มันไม่ได้มาจากมูลค่าของ Asana อย่างเดียวแน่นอน เพราะ นอกจาก Asana แล้ว ดัสตินก็ยังคงมีหุ้น Facebook ถือครองอยู่ราว 2% ครับ ก็นับว่าเป็นมูลค่าที่มีมหาศาลมากเกินกว่ามูลค่า Asana ทั้งบริษัท โดยพอรวมกัน พ่วงกับการลงทุนในบริษัทและทรัพย์สินของดัสตินนิดหน่อย ก็ไปถึงตัวเลข $1.4 หมื่นล้านพอดี
สุดท้ายนี้ดัสตินได้ฝากบทเรียนที่เขาได้เรียนรู้จากการเป็นหัวหน้าไว้ว่า
- มันแย่ ถ้าเราไม่ได้กระจายงานไปให้คนอื่นในปริมาณที่เพียงพอ
- ยอมรับว่าทุกคนคือพาร์ทเนอร์
- จำไว้เสมอว่าเราจะตกลงกับคนอื่นร่วมกัน มากกว่าการคิดเองเออเอง
- พยายามหลีกเลี่ยงอะไรที่มีหลายทางเลือก พยายามทำการตัดสินใจ
- ต้องแน่ใจว่า จะมีจุดที่เราคอยมาสะท้อนดูสิ่งที่ตัวเองทำมา
สรุปส่งท้าย
คร้บผม จบไปแล้วอีกตอนกับเรื่องราวของดัสตินชายผู้ที่กล้าลาออกจาก Facebook ซึ่งผมว่าเขาตัดสินใจได้ดีนะ เพราะ ชีวิตเราอาจไม่ได้มีแค่เรื่องเงินอย่างเดียว แต่เราก็อาจมีสิ่งที่ต้องการทำตามฝัน ซึ่งมันจะเป็นอะไรที่มีความสุขมากกว่าแน่นอนในการที่ได้ทำอะไรที่ต้องการนี้ ไม่แน่นะครับ ใครจะไปรู้ว่าในอนาคต การที่ดัสตินออกมาและสร้างบริษัทเอง อาจจะไปได้ใกลกว่า Facebook ก็เป็นได้ ทุกจังหวะชีวิต เรามีโมนเมนต์ที่ต้องสินใจครับ จงเชื่อมั่นตัวเราในอดีตที่เคยเลือกในการตัดสินใจนั้น และมุ่งข้างหน้าต่อไปครับ เพราะ เป็นอดีตเป็นอะไรที่เปลี่ยนไม่ได้ แต่อนาคตที่เราจะเจอ เราสร้างได้ครับ วันนี้ผมก็ขอจบเพียงเท่านี้ สวัสดีครับ