ถ้าเราพูดถึงเศรษฐีระดับ Top ของโลก เราจะนึกถึงใครครับ?
Bill Gates? Warren Buffet? Larry Page?
รู้ไหมครับว่ามีเศรษฐีคนนึง รวยกว่า Larry Page เจ้าของ Google เสียอีก แต่หลายคนดันยังไม่เคยรู้จักชื่อเสียงของเขากัน คนนั้นคือ
สตีฟ บัลเมอร์ (Steve Ballmer) อดีต CEO Microsoft เศรษฐีปิดทองหลังพระ ผู้รวยอันดับที่ 11 ของโลก และเป็นเจ้าของทีมบาส NBA Los Angeles Clippers ในปัจจุบัน
หลายคนคงตกใจ เพราะ พอเจอคำว่า Microsoft จะต้องเป็น Bill Gates แต่ความจริงจะต้องมี Steve Ballmer ด้วยครับ ซึ่งวันนี้เราจะมาศึกษาเรื่องราวของเขากัน
อย่ารอช้า เชิญติดตามชมกันได้เลย!!
“เราไม่ได้ผูกขาด แต่เราได้ตลาด นั้นแหละคือความแตกต่างของเรา”
สตีฟ บัลเมอร์ เป็นชาวอเมริกันเกิดที่เมือง Detroit ในปี 1965 ซึ่งเริ่มแรกครอบครัวของเขาก็ค่อนข้างร่ำรวย โดยที่เขามีพ่อเป็นผู้จัดการในบริษัท Ford Motor
ตอนเรียน สตีฟ เป็นเด็กทีเรียนเก่ง เขาได้ทุนในตอนช่วงเรียน และตอนมหาวิทยาลัยเขาก็ได้เข้าไปเรียนที่ฮาร์วาร์ด ในหลักสูตรด้านเศรษฐศาสตร์และคณิตศาสตร์ประยุกต์ ซึ่งในช่วงนั้นแหละที่เขาได้เป็นเพื่อนกับ บิล เกตส์
ในช่วงเรียน สตีฟ ยังได้มีโอกาสเป็นผู้จัดการทีมอเมริกันฟุตบอล Harvard Crimson ของมหาวิทยาลัย รวมถึงยังทำงานเกี่ยวกับหนังสือพิมพ์ในการโปรโมตทีมอีกด้วย ซึ่งสิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า สตีฟ เป็นคนที่ชื่นชอบกีฬาตั้งแต่เยาว์วัย
หลังจากที่เรียนจบ สตีฟ ได้เข้าไปทำงาน P&G ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการด้านผลิตภัณฑ์ ซึ่งพอเขาทำงานไปได้ 2 ปี เขาก็ได้ลาออกจากงาน และไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในช่วงปี 1979
ในช่วงที่เขาเรียนอยู่ บิล เกตส์ ก็ยังคงเรียนมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดไม่จบ และสุดท้ายก็ได้ออกมาทำบริษัท Microsoft ของเขาเองอย่างเต็มตัว ซึ่งในช่วงที่ สตีฟ ได้เรียนที่สแตนฟอร์ดไปได้สัก 1 ปี เขาก็ได้ไปหา บิล เกตส์ เพื่อขอทำงานในบริษัท Microsoft ในช่วงซัมเมอร์ว่างๆชิวๆ แต่ในทางกลับกัน บิล เกตส์ ไม่ได้อยากชิวด้วย เขาอยากอยากให้ สตีฟ ออกมาทำงานฟูลทามที่บริษัทของเขาเลย
ในปี 1980 สตีฟ ตอบรับการทำงานฟูลทามของ บิล เกตส์ และได้ลาออกจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดตั้งแต่นั้น โดยเขาได้กลายเป็นผู้จัดการคนแรกที่ถูกจ้างโดย บิล เกตส์ และเป็นพนักงานคนที่ 30 ของบริษัท ซึ่งช่วงแรกเขาก็ได้ทำหน้าที่ในการช่วยหาคนเก่งๆเขาทำงานที่บริษัท ด้วยที่สตีฟมีความสามารถพิเศษในการมองคนที่เฉียบแหลม ที่สามารถลบจุดอ่อนจากการที่เขาไม่ได้มาจากสายงานเขียนโปรแกรมได้
การเติบโตของ Microsoft ก็ไปได้ด้วยดี หลังจากที่ Microsoft ได้เซ็นสัญญาการทำคอมพิวเตอร์วางบ้านกับ IBM สตีฟก็ได้ถูกมอบหมายให้ทำงานฝั่ง Business เต็มตัว เนื่องจาก บิล เกตส์ และ พอล อัลเลน ที่เป็นผู้ก่อนตั้งอีกคนต้องไปวุ่นกับการทำงานด้านเทคนิค โดยสตีฟ ก็ทำหน้าที่ได้อย่างยอมเยี่ยม ไม่ทำให้ใครผิดหวัง
ในปี 1981 สตีฟ ได้ทำการจัดโครงสร้างใหม่ให้แก่บริษัท โดยที่มี บิล เกตส์ ถือหุ้น 53% พอล อัลเลน 35% และสตีฟ บัลเมอร์ เอง 8% รวมถึงยังมีการให้พวก Stock Option แก่พนักงานในบริษัทอีกด้วย
เวลาผ่านได้สักระยะ พอล ได้รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็ง ทำให้ พอล ต้องหยุดงานไปตั้งแต่ในช่วงปี 1983 ซึ่งทำให้ช่วงนั้นเหลือเพียงแค่ บิล กับ สตีฟ แค่ 2 คน โดยที่ สตีฟ ต้องลงมาช่วยทำงานในส่วนของด้านเทคนิคที่มากขึ้น ในช่วงนั้นก็ เขาก็ได้มีส่วนร่วมในการทำ OS ที่เป็นส่วน Core ธุรกิจหลักของ Microsoft อย่างจริงจัง ซึ่งช่วงนั้น สตีฟ ก็ได้มีการขายหุ้น Microsoft ของตัวเองออกไปครึ่งนึงในมูลค่า $955 ล้าน ทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีหมื่นล้านบาทตั้งแต่นั้น
ในปี 1986 สตีฟ ได้ทำให้ Microsoft กลายเป็นบริษัทมหาชน ซึ่งความสำเร็จของ Microsoft นี้ เกิดจากความสำเร็จในการออกตัวแอปพลิเคชัน Microsoft Office Suite หรือที่เราเห็นได้ง่ายๆทั่วไปในวันนี้ คือ Word, Excel และ Power Point
หลายปีผ่านไป สตีฟได้ทำตำแหน่งสำคัญๆหลายตำแหน่ง โดยในปี 1995 เขาได้ทำตำแหน่ง EVP ของฝั่ง Sales และ Support ซึ่งช่วงนั้นเขาก็ได้มีโอกาสเป็นคนพัฒนาภาษาเขียนโปรแกรม .NET Framework
ในปี 1998 เขาได้ตำแหน่งประธาน และสุดท้ายในปี 2000 เขาได้ถูกแต่งตั้งเป็นระดับ CEO ของ Microsoft แทนที่ บิล เกตส์ โดยที่ บิล ก็ยังคงนั่งอยู่ในบอร์ดและยังดูเรื่องวิสัยทัศน์ของการใช้เทคโนโลยีของบริษัท ซึ่งเป็นช่วงที่เรียกได้ว่าเป็นจุดสูงสุดในชีวิตการทำงานของสตีฟแล้ว
ในตำแหน่ง CEO สตีฟได้ทำการดูแลเรื่องพวกการเงินและการดำเนินงานในบริษัท ด้วยความเป็นผู้นำของเขา ทำให้ Microsoft มีผลิตภัณฑ์ออกมาใหม่ๆมากมาย ไม่ว่าเป็นเรื่องเกมส์อย่าง อย่าง Xbox และการเข้าซื้อ Skype รวมถึงการเจาะตลาดระดับ Enterprise พวก Windows Server, SQL Server, SharePoint และอื่นๆ
ทางด้านการเงิน สตีฟก็ทำได้ไม่น้อยหน้า โดยกำไรของ Microsoft ที่ช่วง สตีฟ เป็น CEO นั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างเป็นประวัติการณ์ จากเดิมที่ยอดขายของ Microsoft มีเพียง $25 พันล้าน เขาทำให้กลายเป็น $70 พันล้าน และฟันกำไรให้ Microsoft ได้ถึง $23 พันล้าน สูงขึ้นจากอดีตในระดับการก้าวกระโดด 215% ด้วยตัวเลยนี้ สตีฟ กลายเป็น CEO แห่งประวัติศาสตร์ที่ทำลายสถิติสร้างที่มีผลงานการสร้างกำไรให้บริษัทแซงหน้า CEO ดังๆอย่าง Jack Welch จาก General Electric และ Louis V. Gerstner Jr. จาก IBM
ดูเหมือน สตีฟ จะเป็น CEO ที่มีข้อไร้ด่างพร้อย แต่ในความเป็นจริง ในช่วงที่ สตีฟ ทำงานเป็น CEO เขาก็ได้มีการล้มหลายในหลายๆโปรเจค ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต และเครื่องเล่นเพลง ที่เจอ Google และ Apple พังทลายไม่เป็นท่า จนในปี 2013 เขาได้ถูกขนานนามจาก BCC ให้เป็น CEO ยอดแย่แห่งปี
นอกจากนี้ สตีฟ ดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่ค่อนข้างเกลียด Apple มาก ในขณะที่ชื่อเขาก็ดันเหมือนผู้ก่อตั้ง โดยเขาเคยกล่าวว่า
iPhone ไม่มีโอกาสขายได้หรอก ไม่มีวัน!!
และเขายังกล่าวว่า
การที่เราลงทุนไปช่วย Apple ในปี 1997 เป็นอะไรที่บ้าที่สุดที่เราเคยทำมา
กลายเป็นเรื่องตลกที่ปัจจุบันมูลค่าบริษัท Apple กลับแซงหน้าบริษัท Microsoft ทำให้ช่วยช่วงหลังๆสตีฟมีภาพลักษณ์ต่อสาธารณชนไม่ดีนัก
ช่วงการทำงานของสตีฟสุดท้ายใน Microsoft เขาได้ทำการเปิดตัว Microsoft Surface และเข้าซื้อ Nokia ในส่วนของโทรศัพท์มือถือ ซึ่งในช่วงปี 2013 Microsoft ได้มีการประกาศการลงตำแหน่งของเขา และในปี 2014 เขาก็ได้วางมือจากตำแหน่ง CEO และออกจาก Microsoft ไปในที่สุด โดยตั้งแต่นั้นความสัมพันธ์ระหว่าง สตีฟ กับ บิล ก็ไม่ค่อยดีนัก ซึ่งเขากล่าวว่าสาเหตุหลักๆเกิดจากบิลกับบิลมีความไม่ลงรอยกันในช่วงหลังๆ โดยเฉพาะตอนทำเรื่องสมาร์ทโฟนที่บิลไม่ยอมช่วยสนับสนุน
ในปีเดียวกันหลังจากที่เขาได้ออกจาก Microsoft สตีฟได้ทำการซื้อทีมบาส NBA Los Angeles Clippers ด้วยมูลค่ากว่า 2 พันล้าน กลายเป็นเจ้าของ NBA ที่ความมั่นคั่งสูงที่สุด
ในปัจจุบัน สตีฟ บัลเมอร์ เป็นบุคคลที่รวดที่สุดในอันดับที่ 11 ของโลก ด้วยสินทรัพย์ถือครองกว่า $72 พันล้าน (2.2 แสนล้านบาท) โดยสุดท้ายนี้เขาได้ให้เคล็ดลับด้านการบริหาร 5 ข้อของเขา ดังนี้
- ต้องแน่ใจว่าเราเห็นภาพพื้นสนามได้ทั่ว
- อย่าไปปักหมุดหวังการฉายเดี่ยวหรือการมีดรีมทีม
- ต้องตระหนักเสมอว่าไม่มี Business Model อะไรที่เพอร์เฟคได้ในทุกยุคหรอก
- อย่าไปพนันกับสิ่งที่เป็นระยะสั้นหรือระยะยาวอย่างเดียว
- ต้องรุ้ลิมิตของตัวเอง
สรุปส่งท้าย
เห็นไหมครับ สตีฟ บัลเมอร์ คนที่มีพื้นฐานจากสาย Business ก็สามารถสำเร็จในบริษัท Tech ได้ ขอแค่มีความสามารถสักด้านจริงๆ ซึ่งถ้าอยากทำบริษัทสาย Tech แต่ไม่มีความสามารถการเขียนโปรแกรม ก็ร่วมทีมกับคนเขียนโปรแกรมเก่งๆซะ ถ้าบริษัทประสบความสำเร็จ สุดท้ายปลายทางก็ไปดีทั้งคู่ ขอแค่ให้โฟกัสและใช้จุดแข็งของตัวเองในการทำให้บริษัทก้าวไปข้างหน้าให้ได้มากที่สุด และต้องทำให้ตัวเองเป็นผู้ชนะ!! ซึ่งเสียดายมากครับ ในช่วงท้ายๆการทำงาน Microsoft ของสตีฟที่ดันจบไม่ค่อยสวยนัก เพราะ เขากลายเป็นผู้แพ้ โดยการที่เขาดูถูก Apple ผมว่าความคิดนั้นเขาไม่ผิดนะ ซึ่งถ้าเขาชนะ Apple ได้ หนังที่ได้ออกมาก็คงคนละม้วน เพราะ ในโลกความเป็นจริงของธุรกิจมันมีทั้งผู้แพ้และผู้ชนะครับ ผู้ชนะก็จะได้เกียรติยศ ส่วนผู้แพ้ก็ต้องยอมรับความเสื่อมเสียกันไป ผมก็หวังว่าเพื่อนๆก็จะเป็นผู้ชนะกันนะครับ โดยวันนี้ผมก็ขอจบเพียงเท่านี้ ก็เจอกันใหม่ในอาทิตย์หน้านะครับ ขอบคุณครับ