ใครเคยได้ยินชื่อ 23andMe ไหมครับ..? บริษัทวิจัยพันธุกรรมรายแรกๆจาก US ที่ทำการวิเคราะห์ DNA จากน้ำลาย จนปัจจุบันธุรกิจมีมูลค่ากว่า $2.5 พันล้าน (7.7 หมื่นล้านบาท) โดยวันนี้ผมจะมาเล่าถึงประวัติของผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ Co-founder หญิงแกร่งของเรา แอนน์ โวจซิคกี้ (Anne Wojcicki) และเดินทางของเธอไปกับ 23andMe นี้ ผมบอกได้เลยว่าโปรไฟล์ของเธอสุดยอดล้นฟ้ามาก อย่ารอช้าไปติดตามต่อกันได้เลยครับ
“ฉันเชื่อว่าทุกสิ่งในธุรกิจด้านสุขภาพเปลี่ยนได้ “
แอนน์ โวจซิคกี้ เป็นนักธุรกิจหญิงชาวอเมริกัน เกิดที่แคลิฟอเนีย ในปี 1973 ซึ่งพื้นฐานครอบครัวของเธอก็ไม่ธรรมดาเลย ทั้งแม่และพ่อของเธอต่างก็เป็นอาจารย์ โดยที่พ่อของเธอนั้นเป็นถึงศาตราจารย์ฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ยังไม่จบเท่านั้นเธอยังมีพี่น้องอีก 2 คน โดยพี่สาวของเธอ ซูซาน โวจซิคกี้ (Susan Wojcicki) เป็นถึง CEO ของ Youtube และเคยเป็นอดีตผู้บริหารของ Google ส่วนน้องสาวเป็นนักมานุษยวิทยาประจำอยู่ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอเนีย นับว่าเป็นครอบครัวที่มีสมาชิกโปรไฟล์สุดยอดทุกคนจริงๆ
มาถึงตาของ แอนน์ ก็ไม่น้อยหน้า เธอมีสามีเป็น Co-founder ของ Google เซอร์เกย์ บริน (Sergey Brin) ซึ่งงานอดิเรกของเธอ คือ การเล่นไอซ์ฮ๊อกกี้และสเก็ตน้ำแข็ง โดยเธอจบปริญญาตรีวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา จากมหาวิทยาลัยเยล ในปี 1996 และหลังจากที่เธอเรียนจบ เธอก็ทำงานเป็น Healthcare Investment Analyst ดูพวกบริษัทด้านสุขภาพ ในกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ
หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการทำความรู้จักบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพไปได้สัก 4 ปี เธอก็ได้ลาออกจากงานมาทำงานวิจัย จนในที่สุด ปี 2006 เธอก็ได้ก่อตั้งบริษัทพันธกรรมหมื่นล้าน 23andMe ร่วมกับเพื่อนนักชีววิทยา ลินดา เอวย์ (Linda Avey) ด้วยความเชื่อว่าการรู้ถึงข้อมูลความเสี่ยงของการเป็นโรคของแต่ละคน จะทำให้โอกาสในการเตรียมตัวป้องกันโรคได้มากขึ้น จึงเกิดเป็นพันธกิจของ 23andMe นั่นคือ
เพื่อทดสอบและให้ผลการวิเคราะห์พันธุกรรม รวมถึงโอกาสเกิดโรคแก่ทุกคนที่ยินดีจะจ่ายเพื่อมัน
ดูแล้วเหมือนเป็นพันธกิจที่มี Passion ที่เปลี่ยนโลกได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามทุกคอนเซปต์ย่อมไม่มีทางสมบูรณ์ 100% โดยคนหลายคนต่างเป็นห่วงว่าการใช้พันธุกรรมของแต่ละคนไปทดสอบนั้น มันจะไปกระทบเรื่องความเป็นส่วนตัวของการนำพันธุกรรมไปใช้ รวมถึงผลที่ได้จากการทดสอบออกมามันจะมีความเที่ยงขนาดไหน มันมีหลายปัจจัยมารวมกันที่มีผลต่อความเสี่ยงเกิดโรค
เรื่องของ 23andMe เป็นเรื่องที่เป็นประเด็น และหลายคนต่างถกเถียงกันมาก แต่นั้นก็เป็นสิ่งดี เพราะ ในปี 2008 หลังจากที่เธอสามารถทำการทดสอบ DNA จากวิธีการใช้การน้ำลายออกมาได้สำเร็จ มันก็เกิดกระแสที่ฮือฮาในหมู่คนครั้งใหญ่ขึ้น โดยนิตยสาร Time ไม่รอช้าและได้ทำการยกย่องการทดสอบพันธุกรรมของ 23andMe ว่าเป็น “นวัตกรรมแห่งปี”
สิ่งที่ได้จากการทดสอบจากน้ำลายของผู้ตรวจนี้ คือ ผู้ตรวจจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะพันธุกรรมของเขา รวมถึงพวกความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่างๆ โดยที่พวกเขาสามารถเช็คผ่านช่องทางออนไลน์ได้เลย
โดยเรื่องที่ถกเถียงกันวิธีการวิเคราะห์ของพันธุกรรมของ 23andMe ก็ยังไม่ได้ข้อยุติจริงๆ ซึ่งก็นับว่าเป็นธรรมชาติอุปสรรคของธุรกิจของ 23andMe ที่ต้องเคยเจอ โดยที่ช่วงในปี 2013 ถึง 2015 FDA ของ US หรือง่ายๆเรียกว่า อ.ย. ของบ้านเรา ได้เข้ามาควยคุมการใช้งานข้อมูลพันธุกรรมที่จำกัดการวิเคราะห์ในวงเปรียบเทียบกับเครือญาติเท่านั้น แต่สุดท้าย 23andMe ได้พิสูจน์ให้ FDA วิธีการทดสอบและวิเคราะห์ได้ผลเที่ยงตรงจริง ทำให้หลังปี 2015 สามารถออกมาทำการทดสอบและวิเคราะห์ข้อมูลพันธุกรรมเพื่อหาความเสี่ยงเกิดโรคของแต่ละคนได้อย่างเต็มที่
ในปี 2016 23andMe ได้ข้อมูลตัวอย่างพันธุกรรมจากคนทั่วโลกมากกว่า 1 ล้านชุด โดยในปีเดียวกัน แอนน์ ได้เปิดตัว Open Source Software สำหรับข้อมูลเพื่อการวิจัยด้านพันธุกรรมโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อนักวิจัยทั้งด้านพันธุกรรมและด้านการแพทย์ทั่วโลกเป็นอย่างมาก
ช่วง COVID-19 ในกลางปี 2020 23andMe ก็ได้มีบทบาทที่ให้ข้อมูลวิจัยเกี่ยวโรค โดยที่พบว่าบุคคลที่มีกรุ๊ปเลือด O จะมีโอกาสเป็นโรค COVID-19 ต่ำกว่า
นอกจากนี้ แอนน์ ยังได้รับยกย่องจาก Fast Company ให้เป็น CEO แห่งปี ในปี 2013 ที่มีความกล้ามากที่สุด และยังได้รับการยกย่องให้เป็นนักธุรกิจหญิงตัวอย่างจากหลายสื่อมากมาย โดยปัจจุบัน แอนน์ มีสินทรัพย์ถือครองทั้งสิ้น $800 ล้าน (2.5 หมื่นล้านบาท) ซึ่งก็นับว่ามากโขจนล้นฟ้า แต่อย่าลืมว่านี่ยังไม่รับรวมของสามีที่เป็นผู้ก่อตั้ง Google ด้วยนะ ซึ่งถ้านับรวมเธอจะมีสินทรัพย์ทั้งหมด $7.3 พันล้าน (2.3 แสนล้านบาท) มากขนาดไหน ก็มากขนาดที่ต้องเอาสินทรัพย์ของ คุณธนินท์ เจ้าของ CP 5 คน มากองรวมกัน
และนี่เป็นบทสัมภาษณ์ถึงแนวคิดการทำธุรกิจของแอนน์ จาก Quartz at Work
1) ไอเดียใหญ่ๆอะไรของคุณ ที่คนอื่นไม่เคยคิดได้ หรือที่คุณไม่เห็นตามคนอื่นด้วย
ฉันหมกหมุ่นกับการนำเสียงของผู้บริโภคเข้ามาในธุรกิจสุขภาพให้ได้นะ ด้วยที่อุตสาหกรรมธุรกิจด้านสุขภาพมันมีมูลค่ากว่า $3 หมื่นล้าน และส่วนมากเป็น B2B ฉันเชื่อว่าทุกสิ่งในธุรกิจสุขภาพเปลี่ยนได้ ถ้ายังมีเสียงเรียกร้องของผู้บริโภคอยู่
2) คุณคิดว่าพฤติกรรมหรือบุคคลิกภาพลักษณะใดที่มีผลต่อความสำเร็จสูงสุด
พวกเราถูกเลี้ยงดูมาไม่ให้อายที่จะเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง สิ่งนั้นมันช่วยฉันให้สามารถโฟกัสไปกับสิ่งที่เชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกและสามารถจัดการกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาระหว่างทาง
3) ถ้าคุณสามารถเปลี่ยนหนึ่งอย่างในการช่วยผู้หญิงในที่ทำงานได้ คุณจะทำอะไร
บาลานซ์ที่ทำงาน จ้างผู้ชาย 1 คน ต่อผู้หญิงทุกคน และบาลานซ์ข้ามไปถึงตำแหน่งบริหาร ทางเดียวที่จะผลักดันให้เปลี่ยนได้คือการมีความหลากหลาย
4) ในช่วงเริ่มต้นของการทำงาน คุณหวังว่าอยากรู้เรื่องอะไร
ฉันก็หวังว่าฉันจะได้รู้ประสบการณ์ในเรื่องทุกเรื่องนะ เพราะ สิ่งที่ผ่านมา มันสร้างเป็นฉันจนถึงทุกวันนี้ ถ้าฉันกำลังเรียนรู้ตลอดนะ ประสบการณ์ทุกอย่างที่ผ่านมาทั้งหมดมีค่า
5) ในช่วงไหนของการทำงานที่คุณรู้สึกสิ้นหวังมากที่สุด และคุณจัดการมันได้อย่างไร
ฉันรู้สึกสิ้นหวังที่สุดช่วงที่ฉันทำงานและฉันรู้สึกว่ากำลังไม่ได้เรียนรู้อะไร และไม่รู้สึกว่าจะโต มันจะดีมากถ้าฉันจะไม่ได้ทำงานพวกนั้น
6) กุญแจสำคัญอะไรของคุณที่ใช้ในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนทำงานอย่างมืออาชีพ
ฉันโชคดีนะที่ทำงานกับทีมที่สุดยอด มันมี 3 ส่วนหลักๆนะที่ฉันคิดว่าสำคัญ คือ (1) ฉันเชื่อทำงานด้วยความเชื่อใจ ฉันจ้างคนที่ฉันเชื่อว่าเขาจะทำได้ดีในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ (2) ฉันเป็นคนซื่อตรงและโปร่งใส หมายความว่าฉันต้องการฟีตแบ๊กแบบเรียลทามน์ และ (3) มันสำคัญมากที่ฉันต้องมีความผิดพลาดติดตัวบ้าง เพราะ ถ้าเราจะทำอะไรบุกเบิดไม่ได้เลยถ้าเรายังกลัวกับการทำความผิดพลาด มันไม่มีวิธีดีกว่านี้แล้วในการกำจัดความกลัว ดังนั้นจงทำความผิดพลาดก่อน และก็เรียนรู้กับมัน
7) คำแนะนำอะไรที่คิดว่าดีที่สุดตั้งแต่ที่เคยได้รับมา
ในปี 2013 เราได้จดหมายเตือนจาก FDA มันเป็นช่วงยากลำบากมากในการคิดหาทางออก ฉันได้รับคำแนะนำที่ยอดเยี่ยมจากทีมที่ดูแลด้านระเบียบ เธอถามฉันว่าเธออยากขายบริษัทตอนนี้เลย หรือเธออยากอยู่กับมันไปในระยะยาวและสู้เพื่อสานต่อพันธกิจของเรา
ฉันตอบอย่างหลัง แล้วก็เธอบอกฉันว่างั้นก็เริ่มทำงานในส่วนที่ต้องทำซะและอย่ายอมแพ้ มันอาจจะใช้เวลาเป็นปี แต่ความดื้อดึงสุดท้ายมันจะออกผลออกมา
สรุปส่งท้าย
เป็นอย่างไรครับประวัติที่มาของ แอนน์ โวจซิคกี้ ผู้ก่อตั้งธุรกิจน้ำลายหมื่นล้าน 23andMe เป็นนักธุรกิจหญิงเก่งคนเดียวไม่พอ ทั้งครอบครัว ทั้งสามีทุกคนนี่เก่งไปหมด สิ่งนี้มันทำผมเห็นในเรื่องคนรอบตัวมันมีผลกับบุคคลจริง ยิ่งคนใกล้ชิดเท่าไรก็จะมีอิทธิพลมาก และคนที่ใกล้เคียงกัน ก็จะดึงดูดจนมาอยู่เคียงข้างกันในที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นการเปลี่ยนคนอื่นนี่บอกได้เลยครับว่าเปลี่ยนยาก ว่าที่ง่ายที่สุดและเร็วที่สุด คือ การเปลี่ยนตัวเองครับ ถ้าเราอยากเปลี่ยนเป็นบุคคลแบบใด ให้เราเปลี่ยนตัวเองให้มีพฤติกรรมเหมือนบุคคลแบบนั้น รวมถึงพยายามหาสังคมที่มีบุคคลที่เราอยากเป็นนั้นให้มากๆครับ ผมเชื่อว่าความสำเร็จไม่ใกลเกินเอื้อม ก็ขอจบเพียงเท่านี้นะครับ แล้วพบกันอาทิตย์หน้านะครับ ของคุณครับ