EP 13 : สุขภาพเราหยุดไม่ได้ Peloton ธุรกิจ Streaming Fitness ในยุค Covid-19
รู้ไหมครับว่า การออกกำลังกาย นอกจากจากจะทำให้หุ่นเราเฟิร์มขึ้นแล้ว มันยังช่วยให้ร่างกายเราหลั่งฮอร์โมน เป็นผลให้สุขภาพจิตเราดีขึ้นอีกด้วย ซึ่งในช่วงโรคระบาด Covid-19 ที่ทุกคนต่างก็ต้องกักตัว ก็ไม่แปลกใจเลยที่สุขภาพของเราจะค่อยๆแย่ลง เนื่องจากฟิตเนสหรือที่ออกกำลังกายต่างก็ถูกปิด ผู้คนต่างพากันเครียด แต่ก็มีธุรกิจหนึ่งที่มาช่วยบรรเทาปัญหาวิกฤตนี้ได้ครับ นั้นคือ Peloton ธุรกิจ Streaming Fitness ผู้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เป็นธุรกิจที่แม้คนจะกักตัวอยู่บ้าน แต่ก็ยังทำให้คนสามารถออกกำลังกายได้ ซึ่งตอนนี้ผมจะมาเล่าเกี่ยวกับธุรกิจนี้ครับ โดยในความเป็นจริงต่อให้ไม่มีวิกฤตโรคระบาด ก่อนหน้านี้ Peloton ก็เป็นธุรกิจที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว และผู้คนต่างก็บอกว่าเป็นธุรกิจที่สามารถพลิกโฉมวงการออกกำลังกายได้เลย ใครพร้อมแล้ว อย่ารอช้า เชิญติดตามต่อได้เลยครับผม!!
ปีเดียวมูลค่าบริษัทก้าวกระโดดไปพันล้าน และอีก 5 ปีบริษัทขึ้นจรวดเป็น 8 พันล้าน โอโห้การเติบโตอะไรกันนี่ เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ!!
Peloton คือ เป็นบริษัทใน US ที่ทำเกี่ยวกับ Streaming Fitness หรือการให้บริการฟิตเนสทางใกล ซึ่งในปัจจุบันเข้า IPO ตลาดหุ้นเรียบร้อย และมีมูลค่ามูลบริษัทเกินกว่า 8 พันล้านเหรียญ (2.4 แสนล้านบาทไทย) โดยมีสมาชิกตอนนี้ลงทะเบียนแล้วเกือบกว่า 1 ล้านคน
บริการของ Peloton แบ่งออกเป็น 3 อย่างหลักๆด้วยกัน ได้แก่ BIKE, TREAD และ APP
- BIKE เป็นบริการที่ให้ผู้ใช้ปั่นจักรยานในบ้าน และมีคนนำคลาสปั่นจักรยานผ่าน Live VDO บนเครื่อง ซึ่งตัวเครื่องมี Package ราคาเริ่มต้นที่ $2,245 ก็ถือว่าค่อนข้างแพง แต่ด้วยโมเดลธุรกิจที่ให้ผู้ใช้จ่ายรายเดือนเพียง $58 ภายใน 39 เดือน ทำให้กลายเป็นราคาที่ค่อนข้างเรียกได้ว่าดึงดูดและไม่แพงมากนักสำหรับการออกกำลังกายใน US การซื้อ Package นี้ ผู้ซื้อจะได้ Peloton Bike และระบบ Live VDO ตลอดการใช้งาน และสำหรับผู้ที่อยากได้ Live VDO แบบ Premium อย่างพวกคลาสโยคะ จะมีค่าบริการเพิ่มเติมรายเดือน $39
- TREAD เหมือนตัวปั่นจักรยาน แต่ Package จะใช้เป็นตัวลู่วิ่งแทน ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ $4,295 โดยการจ่ายรายเดือน $171 ไป 39 เดือน และค่ารายเดือน $39 สำหรับคนที่ต้องการแบบ Premium เช่นกัน
- APP สำหรับคนที่ไม่อยากลงทุนในเครื่องปั่นจักรยานหรือเครื่องวิ่ง แต่ยังอยากได้ Live VDO ของพวกคลาสฟิตเนส มีค่าลงทะเบียน Subscription รายเดือน $19.49
Peloton ถูกเริ่มก่อตั้งขึ้นในปี 2012 โดยที่มี John Foley เป็นหัวหอก และเพื่อนๆ Graham Stanton, Hisao Kushi, Tom Cortese และ Yony Feng ซึ่งเริ่มต้นเกิดจากที่ Foley และ Cortese เป็นคนชอบเข้าคลาสปั่นจักรยานที่ฟิตเนส แต่ด้วยเรื่องเวลา หรือการหาสถานที่เข้าคลาสก็ดี ทำให้พวกเขามีคำถามว่า “เอ้ะ เราจะมีทางยกคลาสปั่นจักรยานมาไว้ที่บ้านเรา ให้มาปั่นตอนว่างๆได้ไหม” นั้นเป็นการผุดไอเดียเริ่มแรกของพวกเขาในการสร้าง เครื่องปั่นจักรยาน ที่มีหน้าจอทัชสกรีน ใช้ดูพวก Live VDO คนสอนนำคลาสปั่นจักรยาน
ในปี 2013 พวกเขาได้พัฒนาจักรยานต้นแบบ และได้ไประดมทุนใน Kickstarter ซึ่งผลปรากฏว่าไอเดียนี้มันเวิร์คมาก หลังจากนั้นพวกเขาจึงได้เริ่มผลิตเครื่องอย่างจริงจัง และเริ่มเปิดร้านขายจริงในปีถัดไป โดยในปลายปี 2015 พวกเขาได้ก้าวกลายเป็น Unicorn ด้วยบริษัทที่มีมูลค่า 1.25 พันล้านเหรียญ แต่พวกเขาก็ยังไม่หยุดเท่านั้น เขายังได้ IPO เข้าตลาดหุ้นในปี 2019 จนกระทั้งปัจจุบันบริษัทของเขามีมูลค่า 8 พันล้านเหรียญ (2.4 แสนล้านบาทไทย) ซึ่ง ณ ตอนนี้ Peloton มีหน้าร้านมากถึง 99 สาขา และขยายไปถึงฝั่งยุโรป
เป็นการเติบโตรวดเร็วแบบก้าวกระโดดมาก จากไม่มีอะไรทั้งสิ้นในปี 2013 และในปี 2014 Validate ไอเดีย และระดมทุนได้นิดหน่อย หลังจากนั้นเพียงปีเดียวมูลค่าบริษัทก้าวกระโดดไปพันล้าน และอีก 5 ปีบริษัทขึ้นจรวดเป็น 8 พันล้าน โอโห้การเติบโตอะไรกันนี่ เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ!! นี่มันไม่ใช่เพียงกระแส Viral แล้ว แต่มันคือการ Disrupt อย่างแท้จริง โดย Cortese กล่าวว่า
“ความสำเร็จของเราทั้งหมด เกิดจากให้ประสบการณ์การบริการดีๆที่ทุกคนต่างก็ชอบ นั้นเป็นสิ่งหลักๆเลยที่เราทำ และนั้นทำให้ Peloton เป็นสิ่งพิเศษ”
สิ่งที่ Peloton ทำคือการสร้างแบรนด์โดยนำมาผูกกับชื่อเสียงคนนำคลาส ซึ่งการทำเช่นนี้ นอกจากเป็นการสร้างกระแส Viral ได้แล้ว มันยังเป็นสิ่งที่ทำให้เกิด Unfair Advantage ทำให้คู่แข่งไม่สามารถมาเลียนแบบได้
ยกตัวอย่างเช่น Arzon คนนำคลาส ชื่อดัง ผู้มีผู้ติดตามบน IG กว่า 2 แสนคน เธอถูกยกย่องว่าเป็นคนที่มีสไตล์มีพลังและสามารถกระตุ้นแรงบันดาลใจได้ดี หลายคนชอบสไตล์ของเธอมาก จนเกิดเป็น Community และเรียกทีมคนที่เรียนกับเธอว่า ทีมซุปเปอร์ฮีโร่
นอกจากเคสของ Arzon แล้ว ยังอีกมีหลายๆเคสที่มีการสร้างกันจนเป็น Community โดยนอกจากคนธรรมดา ก็ยังมีหมู่ดาราที่ชอบเข้าร่วม ทำให้ชื่อเสียงของ Peloton ยิ่งกระฉ่อนไปอย่างรวดเร็ว
ซึ่ง Arzon กล่าวว่า “เราไม่ได้ทำการสอนคลาสออกกำลังกายอย่างเดียว แต่เรายังทำการสร้างแพลตฟอร์มที่ทำให้ผู้คนมามีปฏิสัมพันธ์กันอีกด้วย” จึงกล่าวได้ว่า Peloton มันไม่ใช่แค่บริษัทที่ขายเครื่องปั่นจักรยานอย่างเดียวแล้ว แต่มันคือแหล่งรวบรวมผู้คนที่ชื่นชอบออกกำลังกาย ที่พอใครได้ลองใช้บริการแล้วต่างก็ติดใจ
จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่บริษัทสามารถก้าวไปถึง 8 พันล้าน ด้วยโมเดลธุรกิจที่ได้รายเดือนเข้ามาเรื่อยๆ และการทำตลาดดึงดูด ให้คนเข้ามาใช้อย่างรวดเร็ว รวมถึงพอใช้แล้ว ก็ยังคงใช้ต่อไประยะยาวๆ จนเหมือนเสพติด เป็นหนึ่งธุรกิจที่ประสบความเร็จมหาศาลและน่าเรียนรู้
แม้แต่ในช่วงโรคระบาด Covid-19 ที่ธุรกิจต่างล้มตาย ฟิตเนสก็ปิด แต่ Peloton ยังเดินต่อได้ และเรียกได้ว่าเป็นโอกาสของ Peloton เพราะทุกคนต้องอยู่บ้าน และ Peloton ก็ดีไซน์มาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ซึ่งถึงแม้พวก Live VDO นำคลาสอาจลดลง แต่ก็อย่าลืมว่า Peloton ก็มี VDO เก่าที่อัดมาแล้วมากมายให้นำมาใช้ ดังนั้นจึงเรียกว่าผู้คนไม่ต้องห่วงที่จะไม่ได้ออกกำลังกายเลย ถ้าได้เป็นสมาชิกของ Peloton
โดย Foley กล่าวว่า “ในช่วงวิกฤตนี้ เรามีสองอย่างที่เราต้องทำด้วยกัน ได้แก่ ความปลอดภัย และความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน ซึ่งเรายังคงให้บริการลูกค้าของเราต่อ และเราจะทำให้ดีที่สุด” ซึ่งบอกได้เลยว่าธุรกิจคู่แข่งต่างก็ต้องหยุดชะงักทั้งหมด ต้องขอขอบคุณโมเดลของธุรกิจนี้เลยที่ทำให้ Peloton ยังสามารถเดินต่อได้
สรุปส่งท้าย
เป็นธุรกิจที่สุดยอดมากไหมครับ เรียกได้ว่า Peloton ไม่ได้อยู่ได้เพราะธุรกิจ แต่อยู่ได้เพราะผู้คน โดยสำหรับในประเทศไทย ก็ถือว่ายังเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ยังไม่มี Peloton ซึ่งถ้าจะให้ใกล้เคียงจะมีพวก T25 ที่เป็นกระแส Viral เคยเข้ามาช่วงนึง หรืออาจเป็นพวกช่อง Youtube Channel ของเทรนเนอร์ หรือเพจที่ให้คำแนะพวกการออกกำลังกาย ซึ่งถ้ามองในกลุ่ม Startup ที่ทำด้าน Gym & Fitness นี้ ก็ถือว่ายังน้อย ทำให้ในช่วงวิกฤต Covid-19 คนไทยอาจปวดหัวกันหน่อย แต่ก็ไม่แน่ครับ ใครจะไปรู้ ช่วงนี้เราอาจจะได้เจอคนที่จะพลิกวิกฤตเป็นโอกาส และมาช่วยคนไทยในวิกฤตนี้ก็ได้ครับ ดังนั้นช่วง Covid-19 อย่าเป็นกังวลมากครับ ถ้ามีสิ่งอะไรทำได้ก็ทำไปก่อน ไปฟิตเนสไม่ได้ ก็เปิด Youtube วิดพื้น ทำ Weight Training มันยังมีทางเลือกการออกกำลังอื่นอีกเยอะครับ ถึงแม้จะแย่กว่าก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไร จงอดทนไว้ครับ และก็ขอให้ผ่านวิกฤตินี้ไปได้กันทุกคนครับ ขอบคุณครับ