สวัสดีครับ ก็ถือโอกาสมาปิดปี 2024 ในเดือนสุดท้าย จบด้วยเทรนด์เทคโนโลยีที่คาดว่าจะมาในปีหน้า ซึ่ง Source ข้อมูลนี้ผมก็เอามาจากเจ้าประจำเดิม CB Insights ฮะ ถ้าอยากรู้แล้วว่าปีหน้าเราจะเจออะไรบ้าง ใครพร้อมแล้วก็ติดตามกันต่อเลย 🚀🚀
“AI ยังคงเป็นตัวหลักที่จะมีบทบาทไม่ว่าเบื้องหน้าหรือเบื้องหลังในเทรนด์เทคโนโลยีปี 2025"
Financial Service
1) AI จะเข้ามามีบทบาทในกลุ่มธุรกิจ Wealth เป็นอย่างมาก
กว่า 70% ที่นักวางแผนทางการเงินเสียเวลาไปกับงาน Admin ไปอย่างมาก ซึ่งในปีที่ผ่านมีหลายบริษัทด้าน Wealth Managment เอา AI Tool มาใช้ช่วยทำงาน โดยเฉพาะงานที่สร้าง Content พวกเขียน Blog และ VDO ให้แก่ลูกค้าด้วย Gen AI เช่น Typeface, Jasper, syntehsia, Omenky ซึ่ง Key ของ AI Tool ที่จะเข้าในธุรกิจกลุ่มนี้ได้คือความสามารถในการ Integration
2) จะมี AI มาเป็นคนช่วยใช้เงิน Shopping ซื้อของได้แล้ว
ก่อนหน้า AI Model อย่าง GPT-4o อาจมีบางบริษัทเอาไปใช้ทำพวก Task Auto ได้หมด แต่สิ่งเดียวที่พวกนี้ทำไม่ได้คือเรื่องการทำ Payment ซื้อของ เพราะติดเรื่อง Payment Infrastructure ในปัจจุบันที่ต้องมีคน Verify ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มมีบริษัทที่หาท่าใช้ Bot หลีกเส้นทางนั้นได้แล้ว เช่น Skyfire ที่ทำ AI ออกมาช่วยคนซื้อของ โดยใช้ Digital Wallet ที่มี USDC back ที่เป็น Blockchain Payment Infrastructure อยู่ด้านหลังแทน แต่ถึงอย่างไรก็ดี ต่อให้เทคโนโลยีนี้มา Key ของเรื่องนี้ คือ การทำยังไงให้คนเชื่อใจใน AI ได้ ซึ่งก่อนหน้าที่จะเป็นการ Auto-payment 100% มันอาจจะเป็นลักษณะที่การทำ AI หา Deal เช่น ตั๋วเครื่องบินราคาถูกที่สุด แล้วส่งให้คน Approve ก่อนก็ได้
3) Crypto จะเริ่มกลับมา โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทที่ทำ Solution เกี่ยวข้องกับ Stable Coin
เป็นที่ปฏิเสธไม่ได้ที่ช่วงปลายปี 2024 มีแต่คนพูดถึง Crypto ด้วยตลาดที่กลับมาขาขึ้น แต่ในกลุ่มบริษัทใหญ่ สิ่งที่เป็น Highlight จริงๆคือกลุ่ม Stable Coin ที่ล่าสุด Bridge บริษัทที่ทำ Stable Coin Payment Solution นี้ ถูก stripe acquire ไปในมูลค่ากว่า $1.1 พันล้านเรียบร้อย ก็หวังว่าในปี 2025 กลุ่มทำธุรกิจ Cryto หรือ Blockchain จะกลับมาหลังจากซบเซาไปหลายปี
4) ด้วย Valuation ของ Fintech ที่ลดลง ทำให้เป็นโอกาสในการเข้าซื้อของนักลงทุน
ตั้งแต่ในช่วงปี 2021 ที่เป็นช่วง Peak ของ Startup นับแต่นั้นมา Valuation ของบริษัทกลุ่ม Fintech ก็ลดลงเรื่อยๆ รวมถึงหลาย Fintech เงินที่ได้มาก่อนหน้านั้นก็เริ่มหมด ดังนั้นสำหรับในปี 2025 เราก็อาจได้เห็นหลายบริษัท Fintech น้ำดีถูก Acquire จากบริษัทใหญ่ไป ด้วยที่เทรนด์ Fintech ก็ยังเป็นกลุ่มที่ยังถูกจับตามองของนักลงทุน
Healthcare & Life Science
5) เทคโนโลยีการตรวจโรคภัย ก้าวไปอีกระดับด้วย AI ที่สามารถ Detect โรคได้ตั้งแต่ก่อนจะเกิดอาการ
ด้วย Data ที่มากขึ้น และ AI ที่เริ่ม Advance ขึ้น เริ่มมีหลายบริษัทที่ทำ AI ออกมา Detect โรคคนก่อนที่อาการจะเกิดขึ้นได้ เช่น ezra ที่ใช้ AI ในการช่วย MRI ตรวจมะเร็ง, Caristoใช้ AI ในการตรวจในเรื่องความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจ
6) บริษัทที่ทำการวิจัยเกี่ยวกับ RNA ยังคงเป็นบริษัทที่ได้รับความสนใจอย่างท่วมท้น
เนื่องจากโรคที่รักษาให้หายขาดไม่ได้ในปัจจุบันอย่างมะเร็ง หรือเอดส์ ตัวยาที่ทำจาก RNA นี่แหละที่คนหวังกันว่าในอนาคตจะสามารถรักษาให้โรคพวกนี้ให้หายขาดได้ อย่างกับน้ำอมฤต (Elixir) ที่สามารถรักษาได้ทุกโรคในเกมส์ จึงไม่น่าแปลกใจที่นักลงทุนก็ยังให้ความสนใจลงทุนกับบริษัทกลุ่มนี้เรื่อยมา
7) เราจะเห็นเทคโนโลยี Robotic ในกลุ่ม Heathcare มีความ Advance มากขึ้น
ยกตัวอย่างเลยในปีที่ผ่านมามีหลาย Startup ที่ทำเทคโนโลยี Robotic ในกลุ่ม Heathcare ออกมาแล้ว Work เช่น endiatx ทำหุ่นยนต์จิ๋วบังคับได้เป็นกล้องส่องในท้องคน, Diligent Robotics ทำหุ่นยนต์ส่งยาในโรงพยาบาล เหมือนเสริฟอาหารใน MK
AI
8) ในปีนี้ M&A ในการเข้าซื้อบริษัท AI จะเป็นหนึ่งในแผนกลยุทธ์ของหลายบริษัท
ในปีที่ผ่านมามีหลายบริษัทยักษ์ใหญ่เข้าไปกว้านซื้อลงทุนในบริษัท AI สิ่งนี้แหละที่คาดว่าจะเป็นตัวจุดชนวนที่ทำให้หลายบริษัท อยากมาแข่งลงทุนในบริษัท AI เพิ่มเพื่อไม่ให้แพ้บริษัทอื่นๆในปีนี้ โดยในปีที่ผ่านมากลุ่มที่บริษัท AI ที่ถูกลงทุนมากที่สุด คือ Chatbot และ Marketing Automation
9) ในปีนี้บริษัทจะให้ความสำคัญกับที่มา และการแปลผล (Interpretable) ของ AI ที่ใช้โมเดล LLM กันมากขึ้น
คนที่ทำ AI มาจะรู้ว่า ยิ่ง AI มันมีความซับซ้อนมากเท่าไร การหาที่มา หรือเหตุผลว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมายังไง มันยิ่งยาก จนเขาเรียกกันว่า Black Box (เข้าไปแล้ว ทำอะไรก็ไม่รู้ในกล่องดำ แล้วออกมาเป็นผลลัพธ์เลย) โดยเฉพาะโมเดล LLMs ที่ทำ Gen AI ที่มีความซับซ้อน โดยข้อดีของการที่เราสามารถเข้าใจ และแปลผลที่มาของ AI นี้ ก็คือจะทำให้เข้าใจช่องโหว่ และ ข้อจำกัด พร้อม Optimize โมเดลให้ดีขึ้นได้ ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มมีหลายบริษัทที่ทำพวก Model Validation AI นี้แล้ว เช่น arize, Arthur, Martian
10) Open source ไม่ใช่ Top AI LLM Model ต่อไปแล้ว
ด้วยที่โมเดล LLM ดังๆ เช่น ChatGPT ก็ล้วนไม่ใช่ Open Source รวมถึงราคาในการใช้งานก็เริ่มถูกลงเรื่อยๆ และบริษัทที่ทำ LLM Open Source ส่วนใหญ่ก็จะโดนบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำ Closed Source acquire ไป ดังนั้นตอนนี้ตัวโมเดล LLM ที่บริษัทเอาไปใช้ส่วนใหญ่ก็จะเป็น Closed Source ที่บริษัทยอมจ่ายเงินกัน
11) US ยังคงเป็นผู้นำในด้าน AI
จาก CB Insights กว่า 71% ของเงินลงทุนในด้าน AI เป็นการลงทุนใน Startup ของ US ทั้งหมด และบริษัท AI มากกว่า 40% ก็ตั้งอยู่ที่ US ซึ่งตอนนี้มีเพียงแค่จีน ที่พอสู้กับ US ในเรื่อง Open Source ของโมเดล LLM ได้
Enterprise
12) บริษัทที่ทำ Spatial Computing ยังคงเป็นที่ต้องการของบริษัทยักษ์ใหญ่
Spatial Computing คือเทคโนโลยีที่มีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้องโลกจริง เช่น AR, VR, LiDAR ซึ่งตอนนี้ตัวที่มาแรงสุดคือ Apple Vision Pro แต่ถึงอย่างไรก็ดีตอนนี้ก็ถือว่าราคายังแพงอยู่เกินกว่าที่จะ Go Mass ได้ ดังนั้นในเฟสนี้จะเป็นของเรื่องของการที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple ไป Acquire บริษัทต่างๆที่มี Solution ที่จะมา Enable ช่วยกันทำแข่งเรื่องนี้เพื่อเป็นเจ้าตลาด เช่น Mira ที่ทำ AR Headset, waveone ที่ทำ Video Compression เพราะ ตอนนี้ Big Player ยังคงเชื่อว่าเทคโนโลยีนี้จะมา
Retail & Consumer
13) เราจะเห็น Gen AI มามีบทบาทในเรื่อง Personalization ของกลุ่ม Online Marketing กันมากขึ้น
ด้วยการเข้ามาของ Gen AI ทำให้เรื่องของการ Personalized ในกลุ่ม Retail มันง่ายขึ้น ดังนั้นในปีนี้เราจะเห็นภาพที่หลายบริษัทนำ Gen AI มาใช้ใน Use Case เรื่องพวกนี้ เช่น เรื่อง Recommendation สินค้าที่ตรงจุดลูกค้ามากขึ้น, การ Search สิ้นค้าที่ฉลาดขึ้น
Industrial
14) อนาคตที่สดใสของ Data Center มาแล้ว
ด้วยการมาที่ร้อนแรงของ AI และคิดว่าคงไม่หยุดเร็วๆนี้ ทำให้ตอนนี้ฝั่ง Supply ของ Data Center ตามไม่ทัน ดังนั้นจะเห็นได้จากปีที่ผ่านว่ามามีบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำ Data Center มีการประกาศข่าวขยายกันอย่างมากมาย สังเกตุแค่ในไทยอย่างน้อยก็มี 3 บริษัทยักษ์ใหญ่แล้ว คือ Google, Microsoft, Amazon ที่มีมาประกาศกร้าวพร้อมกันในปี 2024 ว่าจะลงทุน Data Center ในไทยเพิ่ม
15) คนจะสนใจในธุรกิจอวกาศ (Space) กันมากขึ้นด้วยต้นทุนการทำธุรกิจที่ต่ำลง
ด้วยในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ต้นทุนในการส่งจรวจไปดาวเคราะห์ต่ำลงถึง 8 เท่า และด้วยการสนับสนุนจาก Space X ที่ทำให้การส่งจรวจเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าใน 5 ปีที่ผ่านมา ทำให้มีหลาย Startup หันมาทำธุรกิจเพิ่มกันด้านนี้ และคาดว่ายังคงฮ๊อตฮิตต่อในปี 2025 เช่น Lument Orbit บริษัททำ Data Center บนอวกาศ, Forerunner บริษัททำ AI สำหรับวิศวกรรมอวกาศ
สำหรับคนที่สนใจใน Report ตัวเต็มของ CB Insights ต้นทางสามารถขอได้จากลิงก์นี้ครับ
https://www.cbinsights.com/research/report/top-tech-trends-2025
สรุปส่งท้าย
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับการเตรียมตัวเจอเทคโนโลยีในปี 2025 จากข้อมูลของ CB Insights ซึ่งถ้าให้ผมสรุปทั้งหมดเนี่ยเทรนด์ทั้งหมดนี้ จุดกำเนิดมันแทบมาจาก AI ทุกอัน ก็ลองดูกันครับในปี 2025 มันจะเป็นไปตามเทรนด์พวกนี้ไหม หรือจะมีอะไรเซอไพร์สที่มากกว่า ตอนนี้ส่วนตัวยังแอบหวังในเรื่องของการเริ่มการกลับมาของ Metaverse ในปีหน้า และอาจในอีกสัก 5–10 ปี หวังใหมีแว่น VR ที่สามารถพร้อม Dive เข้าไปในโลกเสมือนจริง เหมือนหนังในเรื่อง Ready Player One ก็ต้องรอดูต่อกันไป ส่วน AI ไม่ขอพูดเสริมอะไรล่ะ เพราะ ชงมาหลายตอนแล้ว 55
คนที่อยากอ่านย้อนในเทรนด์ Tech ปี 2024 ที่ผ่านมา สามารถอ่านย้อนในลิงก์ได้ฮะ โดยข้อมูลโดยรวมที่ถ้ามาเทียบกันก็ถือว่าของปี 2025 เป็นบวกกว่ามาก ก็คาดว่ามาจากผลการเลือกตั้ง US ที่นโยบายเกื้อหนุนให้เศรษฐกิจปีหน้าเป็นบวก ก็ลองไปเทียบอ่านกันได้ฮะ
สำหรับใครที่ติดตามมาจนจบก็อย่าลืมกด Follow เพื่อรับบทความดีๆแบบนี้อีกนะครับ วันนี้ผมก็ขอจบเพียงเท่านี้ ขอบคุณคร้าบ😊😊